นายกรัฐมนตรี สั่งตามตัวผู้โดยสารกว่าร้อยคนฝ่าผืนไม่ยอมกักตัวตามมาตรการ ก่อตัวต้านเจ้าหน้าที่ ตำรวจระดมรอรับอีกชุดกว่า 200 คน ลงจอดสุวรรณภูมิเร่งต้อนกักตัวทันที สั่งเอาผิดใครให้ที่ซ่อนมีความผิดร่วม
จากกรณีผู้โดยสารสายการบินคนไทยและชาวต่างชาติ เข้าไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิช่วงเวลา 20.00 น. ประมาณ 158 คน ฝ่าฝืนคำสั่งสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ยอมถูกกักตัวตามมาตรการของรัฐ เพื่อป้องกันโควิด-19 ก่อความวุ่นวายและหนีกลับบ้านนั้น
วันนี้ (4 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง เร่งติดตามตัวผู้เดินทางทั้งหมด มาเข้ากระบวนการกักตัวและคัดกรองโควิด-19 พร้อมเอาผิดตามกฎหมาย โดยมีรายชื่อและข้อมูลของทุกคน แม้จะเดินทางไปทั่วประเทศแล้วก็ตาม สำหรับกรณีผู้ให้แหล่งพักพิง หลบซ่อน ช่วยเหลือ อาจมีความผิดด้วย
มีกระแสข่าวมาว่า กลุ่มผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงสุวรรณภูมิ เรียกร้องให้รัฐบาลส่งตัวแทนมาชี้แจง และทำท่าจะลุกลามเป็นการชุมนุมต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารระดับ พล.ต.ได้เข้ามาคุมสถานการณ์ และเปิดการเจรจากับผู้เดินทาง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก่อนจะอนุญาตให้ทุกคนเดินทางกลับบ้านได้ โดยกำชับให้ทุกคนต้องกักตัวเอง 14 วัน แม้ว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะคัดค้าน แต่ไม่สามารถควบคุมตัวผู้เดินทางทั้งหมดได้ นอกจากนี้ มีรายงานจาก สธ.ว่า ผู้โดยสารที่ออกไปมีไข้สูง 3 คน อาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีการกักตัวออกจากสนามบินไป
ด้าน นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ ว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งนายกฯ หลังมีการอ้างเป็นเพราะกระทรวงการต่างประเทศ ยังออกเอกสารรับรองให้คนไทยเดินทางเข้าประเทศไทย ซึ่งฝ่าฝืนคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ที่ให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศ ตั้งแต่วันที่ 2-15 เม.ย. 63 เพราะเมื่อมีประกาศให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศของคนไทย เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตไทย และสถานกงสุลใหญ่ไทย ได้หยุดรับลงทะเบียนออกหนังสือรับรอง สำหรับการเดินทางกลับทุกช่องทาง รวมทั้งปิดระบบลงทะเบียนออนไลน์ของกระทรวงการต่างประเทศ
นอกจากนี้ ได้ขอให้คนไทยเคร่งครัดในการหาใบรับรองแพทย์ ที่ยืนยันสุขภาพของผู้โดยสาร ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทางกลับ ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดที่ออกตามการประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
นายเชิดเกียรติ กล่าวต่อว่า กลุ่มผู้โดยสารที่เดินทางกลับเข้ามาตามรายงานข่าว คือ กลุ่มในช่วงรอยต่อซึ่งยังเดินทางขึ้นเครื่องบินเข้ามาได้ เพราะเขาได้รับหนังสือรับรองจากสถานเอกอัครราชทูตไทย และมีใบรับรองแพทย์ อายุ 72 ชั่วโมง ที่ออกมาก่อนการประกาศให้ชะลอการเดินทาง ส่วนเรื่องกักกันเฝ้าระวังโรค สถานเอกอัครราชทูตไทยหลายแห่ง ได้ระบุในประกาศของสถานเอกอัครราชทูตไทยด้วยแล้วว่า ถ้าคนไทยกลับเข้าประเทศในช่วงนี้ จะต้องถูกกักกันตัวในทุกกรณีในสถานที่ที่หน่วยงานของรัฐกำหนด เป็นเวลา 14 วัน ดังนั้นรายงานข่าวที่ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศฝืนคำสั่งนายกฯ จึงไม่เป็นความจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้ามืดวันนี้ (4 เม.ย.) ยังมีเที่ยวบินจากอเมริกา และแวะจอดที่เกาหลี ได้เดินทางมาถึงยังสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นนักศึกษาไทยคาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 200 คน ทำให้เจ้าหน้าที่ของสนามบินสุวรรณภูมิ ต้องระดมกำลังทั้งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ (บก.ภ.จว.สมุทรปราการ) กว่า 100 นาย สนธิกำลังตั้งแนวรับผู้โดยสารขาเข้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ไปเรียนในอเมริกา ให้เดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารผ่านกำแพงของเจ้าหน้าที่ทั้งสองด้านเดินออกประตู 10 เพื่อขึ้นรถบัสที่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมไว้ประมาณ 5 คัน เพื่อนำนักศึกษากลุ่มนี้ไปกักตัว 14 วันในสถานที่ที่ทางราชการกำหนดไว้
โดยมีผู้ปกครองบางรายมารอรับบุตรของตนเอง เพื่อกลับไปกักตัวที่บ้านพัก ซึ่งทางบ้านได้จัดทำห้องแยก และจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมโรคเข้ามาดูแลบุตรของตนเอง แต่ผู้ปกครองที่มารอรับบุตรหลานก็ต้องพากันผิดหวัง โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ต้อนขึ้นรถบัสไปยังจุดที่กำหนดไว้ เมื่อสอบถามว่าทราบหรือไม่ว่าจะต้องมีการกักตัวบุตร ผู้ปกครองออกมาระบุว่าตนเองและลูกสาวไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ยินดีให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่