MGR Online - โฆษก ตร. เผย ใช้กำลัง 3 พันนาย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งด่านสกัดโควิด-19 359 จุดทั่วประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง
วันนี้ (26 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษก ตร. เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลความสงบเรียบร้อย สนับสนุนการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งประสานการปฏิบัติกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนของการปฏิบัติของทหาร-ตำรวจ และประสานงานการปฏิบัติกับกลไกหลักของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ผ่าน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประจำจังหวัด (กอ.รมน.จังหวัด) โดยมี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เป็นผู้ควบคุม
สำหรับมาตรการดูแลความสงบเรียบร้อย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร กอ.รมน. ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ขนส่ง รวมทั้งอาสาสมัครต่างๆ ในการตั้งจุดตรวจเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตามถนน เส้นทางคมนาคม สถานีขนส่งหรือโดยสาร ป้องกันเหตุ การก่ออาชญากรรม และการรวมกลุ่มชุมนุม หรือมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค หรือการกระทำอันเป็นการฉวยโอกาสซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน หรือการกลั่นแกล้งเพื่อแพร่เชื้อโรค โดยได้กำหนดจุดตรวจทั่วประเทศ จำนวน 359 จุด ใช้กำลังตำรวจ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่น รวมกำลังพลกว่า 3,000 นาย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มอบแนวทางในการตั้งจุดตรวจเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เพื่อควบคุมให้ประชาชนอยู่ในพื้นที่ไม่เดินทางข้ามจังหวัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ควบคุมบุคคลกลุ่มเสี่ยงไม่ให้เดินทางออกนอกพื้นที่ รวมถึงควบคุมการแพร่กระจายภายในเขตจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่มีประชาชนรวมตัวกันหนาแน่น เช่น สถานีขนส่ง สถานีรถไฟ ตลาดสด ซ^เปอร์มาร์เก็ต สวนสาธารณะ หรือ สถานที่จัดกิจกรรมทางศาสนา เป็นต้น โดยในการปฏิบัติได้เน้นย้ำการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ให้ใช้กิริยาวาจาสุภาพ ชี้แจงวัตถุประสงค์ในการตรวจคัดกรองให้ประชาชนทราบ บันทึกภาพผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตลอดเวลา โดยให้กระทบกับการจราจรให้น้อยที่สุด
พล.ต.ท.ปิยะ ยังได้ฝากประชาสัมพันธ์ ไปยังพี่น้องประชาชน ดังนี้
1. ประชาชนที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทาง ให้อยู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต
2. งดเว้น การเดินทางข้ามเขตจังหวัด หากจำเป็นจะต้องได้รับการตรวจคัดกรองและปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด เช่น พกบัตรประจำตัวประชาชน ตรวจวัดอุณหภูมิ สวมหน้ากากอนามัย ติดตั้งแอปพลิเคชันติดตามตัว การเดินทางให้เว้นระยะห่างในการนั่งหรือยืน ทั้งนี้ หากตรวจพบว่าเป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยงหรือมีไข้จะต้องถูกกักตัว
3. ห้ามเข้าไปในพื้นที่หรือสถานที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ตามที่กำหนดในมติคณะรัฐมนตรี รวมถึงตามที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคประกาศ
4. ห้ามการกักตุนสินค้า ยา เวชภัณฑ์ อาหาร น้ำดื่ม หรือสินค้าที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน
5. ห้ามการชุมนุม ทำกิจกรรม หรือมั่วสุมกัน หรือยุงยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย
6. ห้าม Fake News หรือการเสนอข่าวทำแพร่ข่าวปลอม ที่เกี่ยวกับไวรัสโควิด-19
7. การจัดกิจกรรม หรือพิธีการทางสังคมตามประเพณีนิยม ยังคงจัดได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่กำหนด
หากฝ่าฝืน มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือ พ.ร.บ.ราคาสินค้าและบริการ อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ด้วย
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเบาะแสการกระทำผิดดังกล่าวต่างๆ สามารถแจ้งมายังสถานีตำรวจในพื้นที่ หรือ หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 191, 1599 สายด่วน สคบ. หมายเลข 1166 และกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หมายเลข 021422555 หรือผ่านทาง แอปพลิเคชัน Police I lert U ได้ตลอด 24 ชั่วโมง