ตร.ยันไม่มีเปลี่ยนม้ากลางศึก หรือฮีโร่ในเหตุการณ์ยิง ปชช.ที่โคราช

วันนี้ (11 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงการปฏิบัติภารกิจเข้าจับกุมคนร้าย ก่อเหตุยิงกราดประชาชนผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา ว่า การปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ตำรวจได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงาน ในการสนธิกำลังเข้าจับกุมคนร้าย ยืนยันว่า การเลือกใช้ชุดหน่วยปฏิบัติการเข้าจู่โจมควบคุมพื้นที่นั้น เป็นการเลือกจากความเหมาะสมและความถนัด ของแต่ละหน่วย ตำรวจ-ทหาร ทำงานด้วยกัน ไม่มีใครเข้าไปเปลี่ยนม้ากลางศึก การตัดสินใจของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.เป็นมืออาชีพ ที่พูดไม่ได้เพราะความสนิทสนม การต้องมานั่งอดทนและมอบความไว้วางใจให้กับหน่วยตำรวจมันไม่ใช่ง่าย สมมติหากใช้กำลังผสมทหาร-ตำรวจ อาจจะมีปัญหาบ้างในเรื่องของการควบคุม ขณะที่เราก็คิดว่ากำลังพลของเราสามารถจะดำเนินการเองได้ แต่ทหารไม่ได้ไปไหน อยู่สแตนด์บาย พร้อมช่วยเมื่อตำรวจคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ทางกองทัพก็ส่งผู้ช่วย ผบ.ทบ.มาอยู่กับตนตลอดเวลา เดินอยู่ด้วยกันข้างใน อุปกรณ์หลายอย่างเราขอจากกองทัพมา ไม่ว่าจะเป็นโดรน รถกันกระสุน อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ และมีคนคอยประสานงานเพื่อมอนิเตอร์ว่าถึงจุดที่จะต้องใช้อะไรเพิ่มเติมหรือไม่

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันว่า ไม่มีใครเป็นฮีโร่ เจ้าหน้าที่ทุกคน ทั้งตำรวจ ทหาร ล้วนปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ รวมทั้งเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนได้รับบทเรียนและการสูญเสียด้วยกันทั้งสิ้น กำลังใจ หรือคำอวยพรต่างๆ เราขอขอบคุณ แต่เรื่องฮีโร่ขอไม่รับ” รอง ผบ.ตร.กล่าวและว่า เรื่องความผิดพลาดพวกตนรับได้ มันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยืนยันว่า ณ เวลานี้ไม่มีผู้เสียชีวิตเพราะกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ ส่วนการสอบสวนก็ชันสูตรตรงไปตรงมา ซึ่งแพทย์ที่ทำการชันสูตรคงจะมาให้คำตอบได้

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวถึงกรณีมีคลิปเสียงชายสองคนสนทนากันถึงการปฏิบัติงานในครั้งนี้ ว่า เบื้องต้นตนได้ฟังคลิปเสียงดังกล่าวแล้ว มั่นใจว่า บุคคลในคลิปเสียงไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ อีกทั้งขอประณามผู้ที่ลงมือกระทำและเผยแพร่คลิปเสียงนี้ถึงความไม่เหมาะสม และขอให้หยุดการกระทำ ส่วนกรณีที่สังคมอยากทราบยุทธวิธีที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการเข้าจับกุมคนร้ายนั้น ไม่สามารถเปิดเผยถึงรายละเอียดได้ เนื่องจากเป็นขั้นตอนการทำงานของตำรวจ ซึ่งหากมีการเปิดเผยไปอาจจะมีกลุ่มคนไม่หวังดี ศึกษา และถอดบทเรียน เพื่อนำไปก่อเหตุ