MGR Online - ขั้นเทพ สร้างสตอรี่ อ้างเป็น "บิ๊กแดง" สนิทเลขาบิ๊ก ป.ป.ง. โยงซื้อของขวัญให้ "บิ๊กป้อม" หลอกเหยื่อจนตายใจ ตุ๋นเงินกว่า 239 ล้าน
วันนี้ (24 ม.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 14.00 น. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.สุพจน์ พุ่มแหยม รอง ผกก.5 บก.ป. และคณะเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.5 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลระดมกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 จุดในพื้นที่ กทม. เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 5 คน ประกอบด้วย 1.นายอภิชาต อินสว่าง อายุ 59 ปี 2.นายทรรศพล ทัศน์พลสกุล อายุ 56 ปี 3.นายปกรณ์ กรุงศรี อายุ 37 ปี 4.นางพัชราภรณ์ ไตรจักรปราณี อายุ 58 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 83-86 / 2563 ลงวันที่ 22 ม.ค. 2563 ตามลำดับ ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงและร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น,ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม,ร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม,ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้อื่นกระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น” และ 5.น.ส.ภัทราภรณ์ หมั่นกิจ อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอายาที่ 88/2563 ลงวันที่ 22 ม.ค. 2563 ข้อหา “ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น,ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม,ร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม” พร้อมของกลางเป็นเอกสารต่างๆและทรัพย์สินมีค่าจำนวนหลายรายการ
พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อกลางปี 2562 ได้มีนายนฤบ สารศักดิ์ อายุ 79 ปี อดีตวิศวกร ผู้เสียหาย เข้าร้องเรียนว่าได้ถูกนายอภิชาต และพวก ร่วมกันหลอกลวงเอาทรัพย์สินมีค่าจำนวน 239 ล้านบาทไป โดยพฤติการณ์ของผู้ต้องหากลุ่มนี้เริ่มจากเมื่อปี 2555 นายอภิชาต ผู้ต้องหาได้รู้จักกับนายนฤบ ผ่านคนรู้จักที่อยู่ในแวดวงธุรกิจซื้อขายที่ดินด้วย เมื่อเห็นว่าผู้เสียหายเป็นคนสูงอายุและมีฐานะร่ำรวย ก่อนจะออกอุบายหลอกผู้เสียหายว่าตัวเองมีคดีความอยู่ที่ศาลอาญา ทำให้เงินในบัญชีจำนวน 20 ล้านบาท ถูกอายัด จึงอยากขอยืมเงินจากผู้เสียหาย 15 ล้านบาทไปใช้ดำเนินการเรื่องถอนอายัดเงิน หากถอนอายัดได้แล้วจะคืนเงินให้ ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อยอมให้ไป โดยทำสัญญากู้ยืมไว้เป็นหลักฐาน จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงปี 2558 นายอภิชาต ก็ยังไม่สามารถหาเงินมาคืนให้กับผู้เสียหายได้ เมื่อถูกทวงถามก็มักจะจ่ายเช็คเงินสดมาให้กับผู้เสียหาย แต่เมื่อนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารกลับไม่สามารถขึ้นเงินได้
พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า เมื่อผู้เสียหายเริ่มสงสัยในพฤติกรรมของนายอภิชาต ก็ได้ออกอุบายใหม่ขึ้นมาอีก โดยอ้างว่าตอนนี้เงินที่ถูกศาลอายัดได้ถูกถอนอายัดแล้ว เหลือเพียงแค่ทาง ป.ป.ง. ที่ยังคงอายัดเงินดังกล่าวอยู่แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะตนเองรู้จักกับ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สามารถวิ่งเต้นถอนอายัดเงินได้ ก่อนจะทำทีให้ผู้ต้องหาคนอื่นที่อยู่ร่วมขบวนการเดียวกันใช้โทรศัพท์แบบไม่แสดงหมายเลขมาหาผู้เสียหายแล้วอ้างตัวว่าเป็น พ.ต.อ.สีหนาท พร้อมกับระบุว่าสามารถช่วยเหลือเรื่องเงินของนายอภิชาต ที่ถูกอายัดได้ แต่ตอนนี้กำลังจะถูกโยกย้ายจึงอยากขอยืมเงิน 34 ล้านบาท ไปวิ่งเต้นเพื่อให้ได้อยู่ตำแหน่งเดิม ด้วยความที่อยากได้เงินคืนผู้เสียหายจึงหลงเชื่อยอมมอบเงินให้กับผู้ต้องหากลุ่มนี้ไปอีกตามที่ร้องขอ
พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่อว่า แม้ผู้ต้องหากลุ่มนี้จะได้เงินจากผู้เสียหายไปจำนวนมากแล้ว แต่ก็ยังวางแผนหลอกเอาเงินผู้เสียอีกอย่างต่อเนื่อง โดยทำทีให้ผู้ร่วมขบวนการปลอมเสียงโทรศัพท์มาหาผู้เสียหายแล้วอ้างตัวว่าเป็น พล.ต.อ.อภิรัชต์ คงสงพงษ์ ผบ.ทบ. เพื่อพูดคุยสร้างความสนิทสนมเรื่อยมา เมื่อเห็นว่าผู้เสียหายเริ่มหลงเชื่อจึงออกอุบายขอยืมเงินอีกจำนวน 100 ล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำไปใช้ซื้อของขวัญให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งหลอกลวงเอาที่ดินของผู้เสียหายอีกหลายแปลง มูลค่าหลายสิบล้านบาทไปขายต่อ โดยอ้างว่าจะเสนอผลกำไรจากโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล ตลอด 4 ปี มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาทให้เป็นค่าตอบแทนให้ ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อยอมให้ไป กระทั่งต่อมาผู้เสียหายเริ่มผิดสังเกตเพราะเห็นว่าตั้งแต่ให้ยืมเงินไปก็ยังไม่ได้รับเงินที่ยืมไปกลับคืนมาบ้างเลย จึงทำการตรวจสอบจนทราบความจริง ซึ่งกว่าที่ผู้เสียหายจะรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อก็สูญเงินรวมกว่า 239 ล้านบาท แล้วจึงได้นำเรื่องมาร้องเรียนกองปราบจนมีการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับและติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหากลุ่มนี้ได้ดังกล่าว
พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่ออีกด้วยว่า ทั้งนี้จากการสอบสวน นายอภิชาต นายทรรศพล นางพัชราภรณ์ ยังคงให้การปฏิเสธ ส่วน นายปกรณ์ และ น.ส.ภัทราภรณ์ ให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าทราบและรู้เห็นพฤติการณ์บางส่วน เช่นการนำนำเช็คของผู้เสียหายไปถอนเงิน แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการหลอกลวง แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
วันนี้ (24 ม.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 14.00 น. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.สุพจน์ พุ่มแหยม รอง ผกก.5 บก.ป. และคณะเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.5 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลระดมกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 จุดในพื้นที่ กทม. เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 5 คน ประกอบด้วย 1.นายอภิชาต อินสว่าง อายุ 59 ปี 2.นายทรรศพล ทัศน์พลสกุล อายุ 56 ปี 3.นายปกรณ์ กรุงศรี อายุ 37 ปี 4.นางพัชราภรณ์ ไตรจักรปราณี อายุ 58 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 83-86 / 2563 ลงวันที่ 22 ม.ค. 2563 ตามลำดับ ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงและร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น,ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม,ร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม,ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้อื่นกระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น” และ 5.น.ส.ภัทราภรณ์ หมั่นกิจ อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอายาที่ 88/2563 ลงวันที่ 22 ม.ค. 2563 ข้อหา “ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น,ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม,ร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม” พร้อมของกลางเป็นเอกสารต่างๆและทรัพย์สินมีค่าจำนวนหลายรายการ
พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อกลางปี 2562 ได้มีนายนฤบ สารศักดิ์ อายุ 79 ปี อดีตวิศวกร ผู้เสียหาย เข้าร้องเรียนว่าได้ถูกนายอภิชาต และพวก ร่วมกันหลอกลวงเอาทรัพย์สินมีค่าจำนวน 239 ล้านบาทไป โดยพฤติการณ์ของผู้ต้องหากลุ่มนี้เริ่มจากเมื่อปี 2555 นายอภิชาต ผู้ต้องหาได้รู้จักกับนายนฤบ ผ่านคนรู้จักที่อยู่ในแวดวงธุรกิจซื้อขายที่ดินด้วย เมื่อเห็นว่าผู้เสียหายเป็นคนสูงอายุและมีฐานะร่ำรวย ก่อนจะออกอุบายหลอกผู้เสียหายว่าตัวเองมีคดีความอยู่ที่ศาลอาญา ทำให้เงินในบัญชีจำนวน 20 ล้านบาท ถูกอายัด จึงอยากขอยืมเงินจากผู้เสียหาย 15 ล้านบาทไปใช้ดำเนินการเรื่องถอนอายัดเงิน หากถอนอายัดได้แล้วจะคืนเงินให้ ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อยอมให้ไป โดยทำสัญญากู้ยืมไว้เป็นหลักฐาน จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงปี 2558 นายอภิชาต ก็ยังไม่สามารถหาเงินมาคืนให้กับผู้เสียหายได้ เมื่อถูกทวงถามก็มักจะจ่ายเช็คเงินสดมาให้กับผู้เสียหาย แต่เมื่อนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารกลับไม่สามารถขึ้นเงินได้
พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า เมื่อผู้เสียหายเริ่มสงสัยในพฤติกรรมของนายอภิชาต ก็ได้ออกอุบายใหม่ขึ้นมาอีก โดยอ้างว่าตอนนี้เงินที่ถูกศาลอายัดได้ถูกถอนอายัดแล้ว เหลือเพียงแค่ทาง ป.ป.ง. ที่ยังคงอายัดเงินดังกล่าวอยู่แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะตนเองรู้จักกับ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สามารถวิ่งเต้นถอนอายัดเงินได้ ก่อนจะทำทีให้ผู้ต้องหาคนอื่นที่อยู่ร่วมขบวนการเดียวกันใช้โทรศัพท์แบบไม่แสดงหมายเลขมาหาผู้เสียหายแล้วอ้างตัวว่าเป็น พ.ต.อ.สีหนาท พร้อมกับระบุว่าสามารถช่วยเหลือเรื่องเงินของนายอภิชาต ที่ถูกอายัดได้ แต่ตอนนี้กำลังจะถูกโยกย้ายจึงอยากขอยืมเงิน 34 ล้านบาท ไปวิ่งเต้นเพื่อให้ได้อยู่ตำแหน่งเดิม ด้วยความที่อยากได้เงินคืนผู้เสียหายจึงหลงเชื่อยอมมอบเงินให้กับผู้ต้องหากลุ่มนี้ไปอีกตามที่ร้องขอ
พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่อว่า แม้ผู้ต้องหากลุ่มนี้จะได้เงินจากผู้เสียหายไปจำนวนมากแล้ว แต่ก็ยังวางแผนหลอกเอาเงินผู้เสียอีกอย่างต่อเนื่อง โดยทำทีให้ผู้ร่วมขบวนการปลอมเสียงโทรศัพท์มาหาผู้เสียหายแล้วอ้างตัวว่าเป็น พล.ต.อ.อภิรัชต์ คงสงพงษ์ ผบ.ทบ. เพื่อพูดคุยสร้างความสนิทสนมเรื่อยมา เมื่อเห็นว่าผู้เสียหายเริ่มหลงเชื่อจึงออกอุบายขอยืมเงินอีกจำนวน 100 ล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำไปใช้ซื้อของขวัญให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งหลอกลวงเอาที่ดินของผู้เสียหายอีกหลายแปลง มูลค่าหลายสิบล้านบาทไปขายต่อ โดยอ้างว่าจะเสนอผลกำไรจากโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล ตลอด 4 ปี มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาทให้เป็นค่าตอบแทนให้ ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อยอมให้ไป กระทั่งต่อมาผู้เสียหายเริ่มผิดสังเกตเพราะเห็นว่าตั้งแต่ให้ยืมเงินไปก็ยังไม่ได้รับเงินที่ยืมไปกลับคืนมาบ้างเลย จึงทำการตรวจสอบจนทราบความจริง ซึ่งกว่าที่ผู้เสียหายจะรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อก็สูญเงินรวมกว่า 239 ล้านบาท แล้วจึงได้นำเรื่องมาร้องเรียนกองปราบจนมีการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับและติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหากลุ่มนี้ได้ดังกล่าว
พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่ออีกด้วยว่า ทั้งนี้จากการสอบสวน นายอภิชาต นายทรรศพล นางพัชราภรณ์ ยังคงให้การปฏิเสธ ส่วน นายปกรณ์ และ น.ส.ภัทราภรณ์ ให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าทราบและรู้เห็นพฤติการณ์บางส่วน เช่นการนำนำเช็คของผู้เสียหายไปถอนเงิน แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการหลอกลวง แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป