MGROnline - ผู้เสียหายกว่า 100 ราย ร้อง ยธ. ถูกหลอกขายตั๋วเครื่องบินราคาถูก ผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยใช้รีวิวดาราเป็นตัวล่อ จนหลงเชื่อ เพื่อขอให้ดีเอสไอ รับเป็นคดีพิเศษ ผู้เสียหาย 500 กว่าราย สูญเงินกว่า 31 ล้านบาท
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่บริเวณหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ชั้น 2 กระทรวงยุติธรรม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ น.ส.จุฑาภา (สงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี พร้อมกลุ่มผู้เสียหายกว่า 100 คน ร้องทุกข์ต่อ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม หลังถูกหลอกขายแพคเกจตั๋วเครื่องบินพร้อมโรงแรมที่พักราคาถูก ผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ “2gether” และอินสตราแกรม ชื่อ “twogether1” รวมกว่า 514 เคส เป็นมูลค่าควมเสียหายกว่า 31 ล้านบาท เพื่อขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเป็นคดีพิเศษ และดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน
น.ส.จุฑาภา กล่าวว่า ตนรู้จักเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวเมื่อเดือนเม.ย.62 ซึ่งเห็นว่ามีความน่าเชื่อถือเนื่องจากมีรีวิวจากดาราและมีผู้ที่สามารถเดินทางได้จริง จึงได้ตัดสินใจซื้อตั๋วเดินทางรวม 5 ทริป ใน 6 ประเทศ เป็นเงินกว่า 4 แสนบาท กระทั่งเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามีการทักท้วงจากกลุ่มแฟนเพจว่าไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศตามที่ได้ซื้อตั๋วหรือแพคเกจ ซึ่งเจ้าของเพจอ้างว่าถูกเอเจนซี่โกงทำให้ไม่มีเงินมาชดใช้ความเสียหาย แต่จากการตรวจสอบพบว่าเจ้าของเพจใช้ชื่อ-นามสกุลของตัวเองจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมเอง รวมทั้ง พบว่ามีบุคคลในครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยและน่าจะมีส่วนรู้เห็นในการหลอกลวงผู้เสียหาย
น.ส.จุฑาภา กล่าวอีกว่า หลังจากมีการทักท้วงไปยังเจ้าของเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว ต่อมาได้มีการนัดเจรจากับกลุ่มผู้เสียหายบางรายเพื่อยินยอมชดใช้เงินบางส่วน รวมยอดเงิน 1.7 แสนบาท จากนั้นได้มีผู้เสียหายทยอยเดินทางมานัดพบเพื่อทวงถามและขอรับเงินชดใช้ แต่เจ้าของเพจฯได้พยายามขอเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหาย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ทางเจ้าของเพจฯจึงได้ขับรถหลบหนีไป ทั้งนี้ทราบว่าบิดาเจ้าของเพจฯทำงานเป็นข้าราชการตำรวจ ยศ ร.ต.ท. ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล5 ซึ่งเป็นผู้ขับรถพาเจ้าของเพจหลบหนีออกจากการปิดล้อมของกลุ่มผู้เสียหาย นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลอีกว่ากลุ่มผู้เสียหายที่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศ โดยซื้อตั๋วจากเพจ 2gether จำนวน 2 กลุ่มทัวร์ ถูกลอยแพอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากว่าไม่มีตั๋วกลับและไม่มีที่พักด้วย
ด้าน นายสามารถ เผยว่า เบื้องต้นได้รับคำร้องของผู้เสียหายทุกคนไว้ก่อน ในส่วนที่มีการระบุว่าไปแจ้งความตามโรงพักต่างๆแล้วเจ้าหน้าที่ไม่รับแจ้ง ในส่วนนี้ต้องมาดูว่ามีเจตนาฉ้อโกงตั้งแต่ต้นหรือไม่ ถ้ามีการฉ้อโกงตั้งแต่ต้น โดยปกปิด ปิดบังข้อเท็จจริง อันนี้ก็เข้าข่ายฉ้อโกง สำหรับจำนวนผู้เสียหาย 500 กว่าราย มูลค่าความเสียหายกว่า 31 ล้าน ถือว่าเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ที่จะต้องมีจำนวนเกิน 300 คนขึ้นไป โดยหลังจากนี้จะให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการไกล่เกลี่ยหนี้สินที่ผู้เสียหายมีการหยิบยืมจากที่ต่างๆ เพื่อมาซื้อตั๋วเครื่องด้วย อย่างไรก็ตาม ฝากเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากปัจจุบันมิจฉาชีพมีการเปลี่ยนรูปแบบให้การก่อเหตุ