MGR Online - ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองสั่งยึดทรัพย์ที่ดิน 2 แปลง และหุ้นบริษัท แอสคอนฯ มูลค่ากว่า 21 ล้าน ของ “เกษม นิมมลรัตน์” อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย คนสนิท “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” ฐานร่ำรวยผิดปกติ หลังพ้นตำแหน่งนายก อบจ.เชียงใหม่
เมื่อเวลา 11.10 น. วันนี้ (15 มิ.ย. ) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ นายโสภณ โรจน์อนนท์ รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนและองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อม.123/2560 ที่อัยการสูงสุด ผู้ร้อง ยื่นขอให้ศาลวินิจฉัยสั่งทรัพย์สินซึ่งเป็นที่ดิน 2 แปลง ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และหุ้นบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 21,140,746.50 บาท ของนายเกษม นิมมลรัตน์ อายุ 54 ปี ผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และอดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ คนสนิทของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และนางดวงสุดา นิมมลรัตน์ คู่สมรส ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
โดยผูู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ มีที่ดิน 2 แปลง และเงินลงทุนในหุ้น อันเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ รวมมูลค่า 21,140,746.50 บาท ขอให้พิพากษาให้ทรัพย์สินดังกล่าวพร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4, 38 ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดว่านายเกษมมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2560
ศาลฏีกาฯ วินิจฉัยว่า ที่ดินของผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเพิ่มขึ้น 2 แปลง ในระหว่างดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 11777 และที่ดินโฉนด 11783 ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นทรัพย์สินที่อนุกรรมการไต่สวนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้ตรวจสอบพบว่าเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ จึงตรวจสอบที่มาของที่ดินทั้ง 2 แปลงที่สำนักงานที่ดิน จ.เชียงใหม่ โดยมีการซื้อขายที่ดินผ่านแคชเชียร์เช็คราคา 11 ล้านบาท จากธนาคารกสิกรไทย สาขาแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2557 และนายเกษมจ่ายเงินสดเป็นค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดินอีก 8 แสนบาท ซึ่งผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยได้เบิกความกับอนุกรรมการไต่สวนฯ ว่า พนักงานส่งเอกสารได้นำเงินมาซื้อแคชเชียร์เช็คในราคาดังกล่าว เพื่อชำระเป็นค่าที่ดินให้เจ้าของที่ดินทั้ง 2 แปลง โดยพนักงานส่งเอกสารคนดังกล่าวได้รับมอบหมายจากคนในตระกูลวงศ์สวัสดิ์ให้มาทำธุรกรรมอยู่บ่อยครั้ง ทางธนาคารได้รายงานข้อมูลการซื้อขายที่ดินให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทราบแล้ว และ ปปง.ได้เชิญมาให้ข้อมูลหลายครั้ง แต่ตัวพนักงานดังกล่าวได้ทำหนังสือแจ้งเลื่อนและไม่เคยเข้ามาให้ข้อมูล เมื่อตรวจสอบประวัติการทำงานของพนักงานคนดังกล่าวพบว่าทำงานอยู่ 3 แห่ง และแห่งสุดท้ายในช่วงปี 2556-2559 ได้ทำงานในบริษัทที่มีลูกชายของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นกรรมการ ในการพิจารณาไม่ปรากฏว่าพนักงานส่งเอกสารคนดังกล่าวมีความผูกพันเป็นลูกจ้างหรือมีความสัมพันธ์กับนายเกษม จนต้องนำเงินที่จำนวนมากถึง 11 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินให้
ขณะที่ทั้งนายเกษมและคู่สมรสก็มีบัญชีธนาคารหลายบัญชีที่จ.เชียงใหม่ และการซื้อที่ดินก็อยู่ในพื้นที่จ.เชียงใหม่ จึงไม่มีเหตุที่จะต้องให้บุคคลมาซื้อแคชเชียร์เช็ค และนำกลับไปซื้อที่ดินในจ.เชียงใหม่ เมื่อตรวจสอบรายได้พบว่านายเกษมมีรายได้ตามแบบประเมินภาษีปี 2556 อยู่ที่ 817,556 บาทเศษ ส่วนปี 2557 มีรายได้ 664,480 บาท นางดวงสุดา มีรายได้ปี 2556 อยู่ที่ 1,370,000 บาทเศษ ปี 2557 มีรายได้ 1,157,000 บาทเศษ เมื่อรวมรายได้ของทั้งสองคนแล้วไม่เพียงพอที่จะซื้อที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าว อีกทั้งไม่มีข้อมูลที่นายเกษมและนางดวงสุภาถอนเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็ค การซื้อที่ดินจึงไม่ปรากฏเส้นทางการเงินของนายเกษม จึงฟังได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งรองนายกอบจ.เชียงใหม่
เช่นเดียวกับเงินลงทุนในการซื้อหุ้นบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) ที่อยู่ในชื่อของนางดวงสุดา จำนวน 61,838,310 หุ้น มูลค่าขณะได้มาหุ้นละ 0.15 บาท คิดมูลค่ารวม 9,275,746.50 บาท เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ เนื่องจากนำเงินที่ใช้หมุนเวียนซื้อขายหุ้นบริษัทวินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) ซึ่งศาลฏีกาฯ เคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่า เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ จึงเป็นกรณีที่นำทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ ไปแปรเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นหรือจากการซื้อหุ้นอื่น มีผลให้หุ้นดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งรองนายก อบจ. เชียงใหม่ ไม่ใช่กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าเป็นการนำเงินในบัญชีหมุนเวียนของรอบครัวมาซื้อ
พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 11777 และเลขที่ 11783 ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ของผู้ถูกกล่าวหากับหุ้น บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ในชื่อของ นางดวงสุดา คู่สมรส ของผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 61,838,310 หุ้น ซึ่งซื้อมาในราคา 9,275,746.50 บาท ที่ฝากไว้กับ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติให้ตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ม.4,38 และหากไม่บังคับคดีตามพิพากษาได้ทั้งหมดหรือได้แต่บางส่วน ให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ แต่ทั้งนี้ราคาที่ดิน 2 แปลง ต้องไม่เกินกว่า 11,865,000 บาท และราคาหุ้นมูลค่าต้องไม่เกินกว่า 9,275,746.50 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าของทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ.2542 ม.83
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้นายเกษมไม่ได้เดินทางมาศาล คงมีเพียงทนายความที่มาฟังคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้แทน ซึ่งทนายความ ระบุว่า ตามกฎหมายใหม่สามารถยื่นอุทธรณ์คดีได้ แต่ทั้งนี้ต้องสอบถามนายเกษมอีกครั้งว่าติดใจคำพิพากษาในส่วนใดบ้าง
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2560 นายเกษมก็ถูกศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก 12 เดือน ไม่รอลงอาญา ซึ่งขณะนี้นายเกษมได้รับโทษครบตามกำหนดแล้ว จากคดีที่ ป.ป.ช.ยื่นให้ศาลวินิจฉัยว่านายเกษมจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับเงินกู้ยืม, เงินการขายหุ้นบริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียลพาร์ค จำกัด (มหาชน) และเงินลงทุนในบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) รวมมูลค่า 74 ล้านบาทเศษ ในช่วงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงใหม่, ส.ส.เชียงใหม่, รองนายก อบจ.เชียงใหม่ ซึ่งนอกจากโทษจำคุกแล้ว ศาลยังห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปีด้วย นับจากวันที่ 5 ต.ค. 2558 ซึ่งนายเกษมพ้นจากตำแหน่งรองนายก อบจ.เชียงใหม่ ขณะเดียวกันจากกรณีดังกล่าว ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ริบทรัพย์สินของนายเกษมและคู่สมรสรวม 168 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย เนื่องจากนายเกษมมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติรวม 8 รายการ