MGR Online - แฉ!!! อดีต “พระพรหมเมธี” ใช้พาสปอร์ตปกสีน้ำเงิน หวังเข้าเยอรมนีโดยไม่ต้องขอวีซ่า เผยเผ่นพร้อม “โค้ด” หลานชายคนสนิท หิ้วกระเป๋าเป้ใบเดียว หวังซุกเยอรมนีขอลี้ภัย เหตุคบหาสีกาทำเรื่องเสื่อมเสียร้ายแรง แต่ผิดแผนถูกตะครุบคาสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต เหตุถูก ตม.สกัดตามหมายจับ
MGR Online - กรณีอดีตพระพรหมเมธี หรือนายจำนงค์ เอี่ยมอินทรา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ) ผู้ต้องหาตามหมายจับ คดีฟอกเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม หรือ คดีโกงเงินทอนวัด ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเยอรมนีควบคุมตัวที่สนามบินแฟรงก์เฟิร์ต เมื่อกลางดึกของวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นบุคคลตามหมายจับที่ทางตำรวจไทยได้ประสานตำรวจสากลไว้แล้ว โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เดินทางไปที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต เพื่อประสานรับตัวอดีต “พระพรหมเมธี” กลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยในวันที่ 6 มิ.ย.นั้น
ทั้งนี้ อดีตพระพรหมเมธีใช้เส้นทางการหลบหนีจาก จ.นครพนม ข้ามแม่น้ำโขงไปยัง สปป.ลาว ต่อไปยังกัมพูชา ก่อนขึ้นเครื่องบินจากเวียดนามไปยังประเทศเยอรมนี จนถูกตรวจคนเข้าเมืองของเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ควบคุมตัว โดยมีรายงานจากชุดสืบสวนสอบสวนติดตามคดีอดีตพระพรหมเมธี ว่าจากการตรวจสอบพบว่าขณะที่อดีตพระพรหมเมธีถูกจับ ใช้หนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต ประเภทราชการ ปกสีน้ำเงิน ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเดินทางเข้าประเทศเยอรมนี โดยพาสปอร์ตเล่มนี้สามารถเดินทางเข้าต่างประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า และอยู่ในประเทศเยอรมนีได้ 90 วัน
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองประจำสนามบินนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ได้ประสานมาทางตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของไทยถึงกรณีดังกล่าว โดยมีรายงานว่าทันทีที่ได้รับแจ้ง พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.สตม.ได้โทรศัพท์สายตรงไปยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.เพื่อรายงานข้อมูลให้ทราบ ก่อนที่ทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ตัดสินใจบินด่วนเพื่อเดินทางไปประเทศเยอรมนี เพื่อประสานความร่วมมือตามขั้นตอนทางกฎหมายในการรับตัวพระพรหมเมธี ผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการไทยมาดำเนินคดี โดยมีรายงานว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ พร้อมด้วยคณะจะนำตัวพระพรหมเมธีกลับประเทศไทย เวลา 06.25 น.ของวันที่ 6 มิ.ย. โดยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG921
สำหรับการติดตามจับกุมพระพรหมเมธี เป็นผลสืบเนื่องหลังจากตำรวจกองปราบปรามผสานกำลังเปิดปฏิบัติตรวจสอบคดีทุจริตเงินทอนวัด เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา ใน 3 วัดสำคัญของกรุงเทพมหานคร ประกอบไปด้วย วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสามพระยา และวัดสัมพันธวงศาราม โดยหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับมีอดีตพระพรหมเมธี ซึ่งขณะนั้นได้รับกิจนิมนต์ที่ จ.พิษณุโลก จึงตัดสินใจหลบหนีการจับกุมหลังจากทราบข่าวปฏิบัติการจับกุมในคดีเงินทอนวัด โดยใช้รถตู้ โตโยต้า อัลพาร์ด สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กภ 3 กภ 8672 กรุงเทพมหานคร จาก จ.พิษณุโลก มุ่งหน้าไป จ.นครพนม ก่อนที่จะนำรถคันดังกล่าวจอดทิ้งไว้ใกล้กุฏิพระเจ้าอาวาสวัดป่าสุคนธรักษ์ บ้านค่ายเสรี ต.นางาม อ.เรณูนคร จ.นครพนม โดยได้รับการช่วยเหลือจากสีกานักธุรกิจอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ก่อนที่จะใช้เส้นทางธรรมชาติข้ามแม่น้ำโขง และเข้าพักที่โรงแรมในเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. เมื่อสืบทราบว่าอดีตพระพรหมเมธีหลบหนีข้ามไปยัง สปป.ลาวแล้ว จึงประสานทางการตำรวจลาวให้จับกุมตัวทันที แต่อดีตพระพรหมเมธีไหวตัวทันเดินทางออกจากโรงแรมเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว เมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 26 พ.ค. โดยภาพวงจรปิดของโรงแรมดังกล่าวจับภาพอดีตพระพรหมเมธีไว้ได้ โดยเดินทางไปพร้อมกับหลานชายคนสนิท ชื่อ “โค้ด” มีเพียงสัมภาระเป็นกระเป๋าเป้หนึ่งใบ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินทางไปยังท่ารถโดยสารเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศกัมพูชา
ต่อมาพบความเคลื่อนไหวของอดีตพระพรหมเมธีอีกครั้ง เมื่อเวลา 05.15 น. วันที่ 1 มิ.ย. พระพรหมเมธีพร้อมด้วยหลานชายได้ขึ้นเครื่องสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส เที่ยวบิน QR971 จากกรุงพนมเปญ แวะจอดที่สนามบินโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เมื่อเวลา 06.23 น. จากนั้นเครื่องบินลำดังกล่าวได้บินไปยังสนามบินโดฮา ประเทศกาตาร์ จากนั้นได้เปลี่ยนต่อเครื่องไปยังท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี จนถูกควบคุมตัวไว้ได้ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ประสานตำรวจสากลให้อายัดตัวไว้ ก่อนเดินทางไปรับตัวอดีตพระพรหมเมธีกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายที่ประเทศไทยต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่อดีตพระพรหมเมธีเดินทางหลบหนีเข้าประเทศเยอรมนี โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ ต้องขอยื่นเรื่องขอเป็นผู้ลี้ภัยในเยอรมนีให้ได้ เนื่องจากรู้ตัวดีว่ากระทำผิดร้ายแรง ไม่เพียงแค่คดีทุจริตเงินทอนเท่านั้น แต่ยังคบหาสีกาใกล้ชิดถึงขั้นอยู่กินเป็นภรรยา และยังให้สีการายนี้ออกงานใหญ่ร่วมกันเสมอด้วยไม่เว้นงานพิธีสำคัญ จึงรู้ตัวว่าจะต้องโดนลงโทษหนักเพราะก่อความเสื่อมเสียร้ายแรง