MGR Online - ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ลงมติเลือก “ฉัตรไชย-ปกรณ์” 2 รายชื่อเดิม เป็น กกต.สายศาลยุติธรรม ก่อนส่งให้ สนช.เห็นชอบอีกรอบ
วันนี้ (26 เม.ย.) ที่ห้องประชุมใหญ่ศาลฎีกา ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะ นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา ได้เรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งปัจจุบันมีผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งสิ้น 176 คน เพื่อลงมติเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สายศาลยุติธรรม จำนวน 2 คน
โดยการลงมติครั้งนี้มีผู้พิพากษาสมัครคัดเลือก 5 คน ประกอบด้วย 1. นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 2. นายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา 3. นายเกษม เกษมปัญญา ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ภาค 4. นายทวีป ตันสวัสดิ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา 5. นายประพาฬ อนมาน ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์
โดยที่ประชุมใหญ่ได้ลงมติเลือกนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา, นายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นผู้ได้รับคัดเลือกเป็น กกต.สายศาลยุติธรรม 2 คน รวมกับผู้ได้รับการสรรหาอีก 5 คน เพื่อเสนอให้ สนช.พิจารณาเห็นชอบตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ นายฉัตรไชย เเละนายปกรณ์ เป็น 2 รายชื่อเดิมที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเคยลงมติเลือกและส่งชื่อไปให้ สนช.แต่ถูก สนช.ลงมติลับไม่เห็นชอบ 7 รายชื่อว่าที่ กกต.ทั้งหมด
มีรายงานว่า เหตุที่ สนช.ไม่เห็นชอบ 7 ว่าที่ กกต.เนื่องจากกังวลเรื่องขั้นตอนการเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในขณะนั้นว่าอาจจะไม่ใช่การลงมติโดยเปิดเผย ตามกฎหมายจึงมีการลงมติโหวตไม่เห็นชอบ แต่ตามกฎหมายนั้นผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเเม้ถูก สนช.ไม่เห็นชอบยังสามารถมายื่นสมัครใหม่ได้ ซึ่งต่างจากการ สรรหาอีก 5 คน จึงทำให้ทั้งนายฉัตรไชยเเละปกรณ์มายื่นสมัครอีกรอบ จนได้รับการคัดเลือกในวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต.ในส่วนของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานี้ ได้มีการออกระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2561 เพิ่มเติมเป็นฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมาซึ่งระเบียบดังกล่าวเห็นสมควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมการลงมติคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต. จากระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 เดิม ในข้อ 10 เป็นว่า การลงมติเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต.ตามข้อ 11 ให้กระทำโดยเปิดเผย ด้วยการทำเครื่องหมายกากบาท (X) อย่างชัดเจน ลงหน้าชื่อตัว และชื่อสกุลผู้ซึ่งตนเลือก จำนวนไม่เกิน 2 คน หรือจำนวนเท่าที่ยังขาดอยู่ในบัตรเลือกที่จัดไว้ ซึ่งระบุชื่อตัว และชื่อสกุล ลำดับหมายเลขตามบัญชีอาวุโสในศาลฎีกา แล้วบัตรเลือกไปมอบให้คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติและนับคะแนน เพื่อดำเนินการนับคะแนนต่อไป โดยระเบียบศาลฎีกาดังกล่าว ยังระบุว่า ให้เลขานุการศาลฎีกา เป็นผู้เก็บรักษาบัตรเลือกไว้ไม่น้อยกว่า 1 ปี และหากไม่มีการโต้แย้งการคัดเลือกเป็น กกต.ก็ให้ดำเนินการทำลายบัตรเลือกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบัญ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2558 ซึ่งถือว่าระเบียบดังกล่าวเป็นการลงคะเเนนโดยเปิดเผยที่จะรู้ว่าในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาใครลงคะเเนนให้ใคร