xs
xsm
sm
md
lg

สีกากีร้าว “จ่าโอ๋” ส่งทนายฟ้อง 2 สารวัตรสืบสวน หักเบี้ยเลี้ยงซื้อแอร์ ฐานข่มขืนใจ-ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ(มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ
MGR Online - “จ่าโอ๋” ส่งทนายยื่นฟ้อง 2 อดีตสารวัตรสืบพหลโยธิน ปมหักเบี้ยเลี้ยงซื้อแอร์ติดห้องสอบสวน ฐานใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจให้ผู้อื่นมอบทรัพย์สินให้-ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ศาลนัดรับฟังไต่สวนหรือไม่ 24 เม.ย.



ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เวลา 13.30 น. วันนี้ (4 เม.ย.) นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความได้รับมอบอำนาจจาก จ.ส.ต.เลอศักดิ์ นนท์ขุนทด หรือจ่าโอ๋ อดีต ผบ.หมู่ สส.สน.พหลโยธิน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.ชลากร ปานแดง และ พ.ต.ต.เอกราช โอมาก อดีต สว.สส.สน.พหลโยธิน ที่ปัจจุบันถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่ สน.ดอนเมือง และ สน.สายไหม เป็นจำเลยที่ 1-2 ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจให้ผู้อื่นมอบทรัพย์สินให้ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต และปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ หรือโดยทุจริตฯ ตามมาตรา 157 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

คำฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 28 ก.พ.- 5 มี.ค.2561 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของโจทก์ ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยกระทำต่อโจทก์เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และร่วมกันกระทำโดยทุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ รวมทั้งตำรวจชั้นประทวนอีกหลายนาย โดยอาศัยอำนาจจากการดำรงตำแหน่ง สว.สืบสวน สน.พหลโยธิน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์และตำรวจชั้นประทวนในฝ่ายสืบสวน ของสน.พหลโยธิน ได้ร่วมกันออกคำสั่ง ข่มขู่บังคับให้หักเบี้ยเลี้ยงของโจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นจำนวน 11 คน โดยให้ไปถอนเงินเบี้ยเลี้ยงมาส่งมอบให้กับจำเลยทั้งสอง อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายเบี้ยเลี้ยงของทางราชการ โดยมีเจตนาเพื่อให้โจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ไม่ได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงตามระเบียบของทางราชการ

นอกจากนี้ จำเลยทั้งสอง ยังมีเจตนาร่วมกันที่จะนำเอาเงินเบี้ยเลี้ยงของโจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชาไปซื้อเครื่องปรับอากาศเพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสองและบุคคลอื่นซึ่งจำเลยทั้งสองไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำได้ โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันมีคำสั่งให้โจทก์และตำรวจชั้นประทวนทุกนายได้รับเบี้ยเลี้ยงเท่ากันทุกนายเพียงคนละ 2,500 บาท ส่วนที่เกิน 2,500บาท ให้ไปถอนเงินมาส่งมอบให้กับ ร.ต.อ.สุนทร ไตรเวช และ ร.ต.อ.สัญญลักษ์ สังขะภักดี ซึ่งดำรงตำแหน่ง รอง สว.สืบสวน เพื่อรวบรวมเงินไปส่งมอบให้กับจำเลยทั้งสอง หากโจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ทำตามจะถูกจำเลยทั้งสองกลั่นแกล้งหรือโดนโยกย้าย เมื่อโจทก์และตำรวจชั้นประทวน 11 คนได้รับทราบคำสั่ง ทุกคนต่างไม่ยินยอมและไม่พอใจ แต่โจทก์และตำรวจชั้นประทวนทุกนายจำยอมต้องไปถอนเงินของตนจากบัญชีของแต่ละคนมาส่งมอบให้กับจำเลยทั้งสองในจำนวนที่แตกต่างกันตั้งแต่ 140 บาท - 6,300 บาท โดยผลของการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของจำเลยทั้งสองได้ไป ซึ่งเงินสดจากโจทก์จำนวน 3,220 บาท และเมื่อรวมเงินทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองได้ไปจากโจทก์และตำรวจชั้นประทวนรวม 11 คน รวมเป็นเงิน 25,300 บาท รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารการสนทนาในกลุ่มไลน์ของฝ่ายสืบสวน
โดยหลังจากที่ โจทก์และตำรวจชั้นประทวนรวม 11 นาย ถูกบังคับให้หักเบี้ยเลี้ยงตามฟ้อง โจทก์และตำรวจชั้นประทวนทั้ง 11 นาย ได้รับความเสียหาย ตำรวจฝ่ายสืบสวนชั้นประทวนทั้งหมดจึงมอบหมายให้โจทก์ไปดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสอง โดยเมื่อวันที่ 27 มี.ค.61 โจทก์ จึงร้องทุกกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตอันเป็นความผิดต่อตำแหน่งของเจ้าพนักงาน และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งเป็นต้นสังกัดของโจทก์ แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.61 เวลากลางคืน โจทก์ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับคดีนี้ ต่อมา บช.น.ได้แถลงข่าวว่าจะสอบสวนทางวินัยกับโจทก์ การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเงินของโจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชา โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อนำเงินไปซื้อเครื่องปรับอากาศเพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสองและบุคคลอื่นโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่กระทำได้ และเป็นการข่มขืนใจโจทก์ให้ส่งมอบทรัพย์สินให้กับจำเลยทั้งสอง การกระทำของจำเลยทั้งสอง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของทางราชการแต่อย่างใดเพราะหากจะมีการซื้อเครื่องปรับอากาศมาติดในห้องทำงานหรือห้องสืบสวนจะต้องผ่านกระบวนการจัดซื้อ จัดจ้างของทางราชการ ไม่ใช่มาบีบบังคับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาให้นำเงินเบี้ยเลี้ยงมาชำระค่าเครื่องปรับอากาศ อันเป็นการสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสกับโจทก์และตำรวจชั้นประทวน การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายเป็นพิเศษแก่โจทก์และผู้ใต้บังคับบัญชา เหตุเกิดที่ แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม.
ทั้งนี้ นายเดชา กล่าวถึงเหตุผลที่มายื่นฟ้องคดีวันนี้ว่า เพราะเป็นการออกคำสั่งบังคับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหักเบี้ยเลี้ยงโดยที่เขาไม่ยินยอม ซึ่งมูลเหตุเป็นเรื่องเบี้ยเลี้ยงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งอื่นๆ โดยที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายก็เคยมีการพูดคุยกันแต่จ่าโอ๋ต้องการทำให้เป็นคดีตัวอย่าง ส่วนที่ขณะนี้ จ่าโอ๋ ถูกโยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ยังท้องที่อื่น ก็เป็นคำสั่งที่เพิ่งออกมาซึ่งเจ้าตัวก็ไม่คิดว่าจะทำอย่างไรเกี่ยวกับคำสั่งที่ถูกโยกย้าย ส่วนการใช้สิทธิ์ฟ้องคดีที่ศาลวันนี้ ก็ทำในฐานะผู้เสียหาย ส่วนที่มีการแจ้งความไว้กับ ป.ป.ท.ด้วยนั้น ก็สามารถดำเนินการควบคู่ด้วยกันได้ สำหรับพยานหลักฐานเท่าที่ทราบในส่วนของ ป.ป.ท.ยังไม่ได้เริ่มต้นสอบสวนอะไร โดยเราก็มั่นใจใน ป.ป.ท. และให้เป็นคดีตัวอย่างเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติกับผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างไรก็ตามสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกันที่ผ่านมาก็ทำงานกันด้วยดี แต่ที่ต้องมาฟ้องเพราะอีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าถูกกระทำเกินไปที่มาหักเบี้ยเลี้ยง ซึ่งเบี้ยเลี้ยงวันละ 200 บาทก็ยังมาถูกหักไป
เมื่อถามถึงพยานหลักฐานที่จะชี้ให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่มิชอบมีอะไรบ้าง นายเดชา กล่าวว่า ในการออกคำสั่งจะให้จ่ายค่าซ่อมแอร์ ทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะโดยหลักการ หากจะซ่อมหรือแอร์ใหม่ก็ต้องเสนองบประมาณจัดซื้อจัดจ้างตามกระบวนการ ไม่ใช่มาหักเบี้ยเลี้ยงของลูกน้องไปจ่ายเป็นค่าแอร์ แต่การฟ้องวันนี้เราไม่ได้มีคำขอให้คืนเงินที่ถูกหักไป เพราะการฟ้องต้องการให้ศาลลงโทษอย่างเดียวซึ่งจะดำเนินการถึงที่สุดตามขั้นตอน

นายเดชา ยังกล่าวด้วยว่า หลักฐานที่จะยืนยันได้ก็คือคำยืนยันของจ่าโอ๋ว่าเขาไม่ยินยอม เมื่อไม่ยินยอมก็ถือว่าผิดแล้ว และถือว่าความผิดนั้นสำเร็จแล้ว และแม้นว่าจะคืนเงินก็ไม่ทำให้ความผิดที่สำเร็จแล้ว จะไม่เป็นความผิดได้ โดยก่อนหน้านี้เงินเบี้ยเลี้ยงทั้งหมดก็เข้าบัญชีของแต่ละคนแล้ว แต่บังคับให้ไปถอนเงินแล้วเอามาให้ ซึ่งจ่าโอ๋บอกว่าหากไม่ให้ก็จะเดือดร้อน และเท่าที่ถามจากจ่าโอ๋ ก็มีทั้งคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรทางแชทไลน์และมีทั้งคำพูด แต่ไม่มีที่เป็นเอกสารราชการซึ่งคำสั่งทางแชทไลน์ก็มีผลและถือว่าเป็นพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่พิสูจน์ได้ ส่วนจะมีการพูดคุยเจรจาต่อไป หลักจากฟ้องคดีจนถึงขั้นถอนฟ้องหรือไม่ อันนี้ต้องแล้วแต่คู่ความ ซึ่งการถอนฟ้องหากจะทำก็ทำได้ ถ้าไม่กระทบกับรัฐหรือประโยชน์สาธารณะ ซึ่งทุกอย่างต้องขึ้นกับจ่าโอ๋ว่าจะทำอย่างไรก็ผู้บังคับบัญชา อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้รับฟังมา ยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวอะไรกัน และไม่ใช่เรื่องส่วย โดยจ่าโอ๋ก็ได้รับคำยืนยันจากเพื่อนตำรวจอีก 10 นาย ว่าจะไม่ทิ้งกัน

ภายหลังยื่นฟ้องแล้ว นายเดชาเปิดเผยว่า ศาลรับไว้เป็นคดีดำ อท.81/2561 ศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 24 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.เพื่อจะมีคำสั่งว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่






กำลังโหลดความคิดเห็น