MGR Online - พนักงานสอบสวนกองปราบ ยันครู “ปรีชา” ขอให้ทำการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก 2 ปาก ล้วนเป็นประเด็นเดิม ซึ่งหากรับเป็นคดีพิเศษก็พร้อมที่จะส่งสำนวนทั้งหมดให้กับดีเอสไอไปดำเนินการต่อ
วันนี้ (22 มี.ค.) นายปรีชา ใคร่ครวญ และ นางรัตนาภรณ์ สุธาทิพย์ หรือ เจ๊บ้าบิ่น สองผู้ต้องหาในคดีหวยอลเวง พร้อมด้วย นายวรยุทธ บุญวงษ์ใส ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อยื่นหนังสือขอให้มีการสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติมในคดีดังกล่าว และขอคัดลอกเอกสารทางสำนวนคดีบางอย่างกับทางพนักงานสอบสวน
นายปรีชา กล่าวว่า ต้องการยื่นเรื่องขอให้ทางพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวมีการสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติมในบางประเด็นที่ยังขาดไป เนื่องจากเห็นว่าประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี นอกจากนี้ ยังได้ถือโอกาสมาขอหลักฐานรายละเอียดทางสำนวนคดีบางส่วน ประกอบด้วย บันทึกการจับกุม การแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิ์ของทางผู้ต้องหา เพื่อเตรียมไว้ใช้ในการยื่นเรื่องขอคัดสำนวนคดีจากทางพนักงานสอบสวน บก.ป. ก่อนนำไปมอบให้กับกระทรวงยุติธรรมใช้ประกอบการพิจารณาจากกรณีที่ตนได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อกระทรวงยุติธรรมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีหวยอลเวงเป็นคดีพิเศษ
นายปรีชา กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีการเดินสายเข้าร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ ก็ถือเป็นการทำตามเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ เนื่องจากหน่วยงานที่ได้เข้าร้องเรียนนั้นก็มีสิทธิ์ในการพิจารณาคดีดังกล่าวด้วยเช่นกันส่วนหลังจากนี้จะมีการไปร้องเรียนตามหน่วยงานอื่นๆ เพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้คงต้องรอดูผลจากการร้องเรียนตามหน่วยงานที่ผ่านมาก่อน ทั้งนี้ หลังจากที่เข้าร้องเรียนยอมรับว่ารู้สึกสบายใจมากขึ้น เนื่องจากได้ใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งตนก็คาดหวังว่าทางผู้ใหญ่จะมีเมตตา คิดทบทวนถึงเรื่องดังกล่าวทั้งหมดอีกครั้ง
“อยากฝากขอบคุณไปยังประชาชนที่ยังคงติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว และคำติชมต่างๆ นานา ว่า ขณะนี้คดีดังกล่าวศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าใครเป็นเจ้าของหวยที่แท้จริง และในเดือน พ.ค. ศาลแพ่งจะมีการนัดสืบพยานเกี่ยวกับที่มาที่ไปของลอตเตอรี่ดังกล่าว ซึ่งการจะตัดสินว่าใครเป็นเจ้าสิทธิ์ลอตเตอรี่นั้นเป็นหน้าที่ของศาล และในเมื่อยังไม่มีการตัดสิน ผมก็ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่” นายปรีชา กล่าว
นายปรีชา กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้ ตนไม่เคยบอกว่าถูกทางตำรวจกองปราบฯบังคับข่มขู่ให้ยอมรับสารภาพนั้น ตนบอกเพียงว่า ถูกทางตำรวจกองปราบฯ พูดจาโน้มน้าว ชักจูงให้ยอมรับสารภาพเท่านั้น
ด้าน พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอบ ผบก.ป. กล่าวว่า วันนี้ ทางด้าน นายปรีชา และ น.ส.รัตนาพร ได้เดินทางมาขอเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางคดี อาทิ บันทึกจับกุม เนื่องจากนายปรีชาจำไม่ได้ว่าเอาบันทึกจับกุมไปไว้ที่ไหน อีกทั้งยังขอให้ทางพนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก 2 ปาก ประกอบด้วย พยานบุคคลที่เคยเข้าให้ปากคำไปแล้ว 1 ราย และพยานบุคคลรายใหม่ที่ยังไม่เคยให้ปากคำอีก 1 ราย สำหรับประเด็นที่จะสอบนั้นก็เป็นประเด็นเดิม แต่เมื่อมีการร้องขอ ก็จะดำเนินการให้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
พ.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ นายปรีชา และ น.ส.รัตนาพร เดินทางไปร้องเรียนตามที่ต่างๆ นั้นก็สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นสิทธิผู้ต้องหา ทั้งนี้ หากกระทรวงยุติธรรมหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษจะรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษหรือจะมีการเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวน ก็คงอยู่ที่ดุลพินิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่คงไม่กระทบกับตัวสำนวนคดีที่ทำอยู่ และหากว่าทางดีเอสไอรับคดีดังกล่าวจริง ทางกองปราบก็พร้อมที่จะส่งสำนวนทั้งหมดให้กับดีเอสไอไปดำเนินการต่อ
พ.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่นายปรีชามีการให้สัมภาษณ์ ว่า ถูกพนักงานสอสวนของกองปราบปรามชักจูง โน้มน้าว ให้นายปรีชา และ น.ส.รัตนาพร รับสารภาพนั้น ในส่วนนี้ขอยืนยันว่าไม่มีการพูดจาโน้มน้าวให้ผู้ต้องหายอมรับสารภาพแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องหาทั้งสองคนเองก็ได้ยืนกรานที่จะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอยู่แล้ว นอกจากนี้ ทางกองปราบยังได้ทำการตรวจสอบถ้อยคำต่างๆ ของนายปรีชา และ น.ส.รัตนาพร ว่ามีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในลักษณะพาดพิงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจกองปราบว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือใช้ถอยคำหมิ่นประมาทจนทำให้ภาพลักษณ์ตำรวจเสียหายหรือไม่ แต่จากการตรวจสอบที่ผ่านมายังไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด