MGR Online - รรท.เลขาฯ ปปง.ระบุแก๊งคอลเซ็นเตอร์เปลี่ยนรูปแบบ หลอกผู้สูงวัยอยู่บ้านคนเดียว โดยให้เหยื่อปิดบัญชีเงินฝากแล้วนำเงินทั้งหมดไปเปิดบัญชีใหม่ สูญเงินแล้วหลายล้านบาท
วันนี้ (20 มี.ค.) พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง.กล่าวว่า สืบเนื่องจากมาตรการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง โดยบูรณาการการทำงานระหว่างสำนักงาน ปปง., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการสายด่วน ปปง.1710 โดยจากสถิติการรับเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2560 จนถึงปัจจุบัน สามารถช่วยเหลือผู้เสียหายได้ทันก่อนมิจฉาชีพจะโอนเงินหรือถอนเงินออกไปจำนวน 74 ราย รวมมูลค่า 34 ล้านบาทเศษ รวมทั้งได้ดำเนินการส่งมอบเงินให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อคืนให้แก่ผู้เสียหายจำนวน 5 ครั้ง เพื่อบรรเทาความเสียหายให้แก่ประชาชนได้จำนวน 40 ราย เป็นเงินจำนวน 6.7 ล้านบาทเศษ
พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์กล่าวอีกว่า ขณะนี้มิจฉาชีพได้เปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงให้มีความซับซ้อนและตรวจสอบยากขึ้น คือ การโทรศัพท์ไปหาประชาชนที่บ้าน แล้วอ้างตัวเป็นตำรวจระดับสูงโทร.มาเพื่อขอตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจะถูกระงับบัญชี และหมายเลขโทรศัพท์ หากไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยอยู่บ้านลำพัง เมื่อถูกข่มขู่เหยื่อจึงหลงเชื่อเพราะตกใจกลัว แล้วหลอกลวงเหยื่อว่าจะทำการตรวจสอบบัญชี โดยขอให้เหยื่อปิดบัญชีเงินฝากทุกบัญชี แล้วนำเงินทั้งหมดไปเปิดบัญชีใหม่ที่ธนาคาร และให้เหยื่อทำบัตรเอทีเอ็มในการกดเงิน
“เมื่อถึงธนาคารจะกำหนดหมายเลขรหัสบัตรเอทีเอ็มให้แก่เหยื่อให้กดตามที่มิจฉาชีพบอก ไม่ว่าจะเป็นรหัส 4 หลัก หรือ 6 หลัก ยกตัวอย่างเช่น รหัสง่ายๆ 1234 เป็นต้น จากนั้นเหยื่อจะนำเงินสดทุกบัญชีฝากเข้าบัญชีที่เปิดใหม่ แล้วกลับบ้านโดยเหยื่อไม่เอะใจหรือสงสัย เพราะเงินทั้งหมดตนเองนำฝากในบัญชีใหม่ หลังจากนั้นผ่านไป 2-3 ชั่วโมง พบว่าเงินถูกถอนออกจากบัญชีไปจนหมดบัญชี จึงแจ้งไปยังธนาคารพบว่ามีว่าการถอนออกไปด้วยอินเทอร์เน็ตแบงกิ้งอย่างรวดเร็ว โดยจะโอนไปยังบัญชีเหยื่อรายอื่นที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน และถูกโอนต่อไปยังบัญชีเหยื่อรายที่ 3 อีกหนึ่งทอด ก่อนที่จะถอนเงินสดทางตู้ ATM ที่ประเทศมาเลเซีย หรือไต้หวัน”
พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์กล่าวต่อว่า ในบางกรณีจะมีการถอนเงินออกจากบัญชีโดยไม่ใช้บัตร ATM ด้วยการโทรศัพท์ไปยังหมายเลขคอลเซ็นเตอร์ของธนาคารและสวมรอยเป็นเจ้าของบัญชี เนื่องจากได้ข้อมูลส่วนตัวจากเจ้าของบัญชีจากการหลอกหลวง ทำให้คอลเซ็นเตอร์ของธนาคารเชื่อว่าเป็นเจ้าของบัญชีจริงจึงแจ้งรหัสเพื่อถอนเงินให้แก่มิจฉาชีพ แล้วมิจฉาชีพจึงถอนเงินออกไปหมดทั้งบัญชี
พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอฝากแจ้งเตือนประชาชนว่า บุคคลใกล้ชิดโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อยู่บ้านคนเดียว หากมีหมายเลขโทรศัพท์บ้านโทร.มาแล้วอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ขอให้รีบวางสาย อย่าคุยเด็ดขาด แล้วให้รีบแจ้งที่สถานีตำรวจใกล้บ้านให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใกล้บ้านเพื่อประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่ถูกแอบอ้างเพื่อมิให้ถูกหลอกลวง หรือให้รีบแจ้งบุตรหลานหรือบุคคลใกล้ชิด อย่าคุยคนเดียวเด็ดขาด เพราะเป็นจุดอ่อนให้มิจฉาชีพใช้ข่มขู่เหยื่อให้กลัวแล้วทำตามที่มิจฉาชีพทุกอย่างแล้วสูญเสียเงินจำนวนมาก และฝากไปถึงสถาบันการเงินทุกแห่งโดยเฉพาะผู้ให้บริการที่เคาน์เตอร์รับฝากเงินทุกสาขาทั่วประเทศ สอบถามประชาชนโดยเฉพาะการเปิดบัญชีและทำบัตรเอทีเอ็มว่า “ท่านเปิดบัญชีตามที่เจ้าหน้าที่โทร.แจ้งว่าจะช่วยเหลือทางคดีแล้วให้ปิดทุกบัญชีมาเปิดใหม่ใช่หรือไม่” เพียงเท่านี้ท่านอาจช่วยเหลือประชาชนที่กำลังถูกหลอกลวงในขณะนั้นให้มีสติและไม่หลงเชื่อได้ แล้วรีบให้ประชาชนโทร.ระงับทุกบัญชีเพื่อมิให้มิจฉาชีพถอนเงินออกจากบัญชีของประชาชน