MGR Online - บก.ปทส.ตรวจสอบดีเอ็นเอ งาช้าง 2 คู่ หลังยึดมาจากบ้าน “เปรมชัย” คาดใช้เวลา 3 สัปดาห์ หากเป็นงาช้างไทยต้องตรวจสอบว่าขึ้นทะเบียนถูกต้องหรือไม่ หากเป็นช้างอาฟริกาต้องตรวจสอบข้อมูลกับไซเตส
วันนี้ (15 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย ดร.กณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าทีมนิติวิทยาศาสตร์ สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช รอง ผบช.ส. พ.ต.อ.สุวัฒน์ อินทสิทธิ์ รอง ผบก.ปทส. ร่วมกันตรวจสอบงาช้างจำนวน 2 คู่ ที่ยึดได้จากบ้านนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ ผจก.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นต์ จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาร่วมกับพวกล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี
พ.ต.อ.สุวัฒน์เปิดเผยว่า วันนี้ได้ทำการตรวจสอบงาช้างที่ยึดได้จากบ้านของนายเปรมชัย จำนวน 2 คู่ เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นงาช้างของแอฟริกาหรือเอเชีย โดยขั้นตอนการตรวจสอบจะเริ่มจากการชั่งน้ำหนักและวัดขนาดของงาช้าง จากการชั่งน้ำหนักงาช้างกิ่งแรกพบว่า หนัก 13.895 กก. ส่วนขนาดวัดความยาวโค้งนอก 146 ซม. โค้งใน 129 ซม. โคนงา 36 ซม. โคนกลาง 32.5 ซม. และปลายงา 11 ซม. จากนั้นจะทำการขูดเนื้อด้านในบริเวณโคนงาเพื่อตรวจสอบดีเอ็นเอ ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์จึงจะทราบผลว่าเป็นงาช้างใด สำหรับเรื่องการดำเนินคดีนายเปรมชัยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบชิ้นเนื้อของกลาง และซากกระดูกขาเสือดำที่เจ้าหน้าที่พบบริเวณใกล้กับเต็นท์ของนายเปรมชัย จะนำมาตรวจสอบที่นี่ รวมถึงหลักฐานอื่นๆ เพิ่มเติมที่กำลังรอนำมาตรวจสอบ
ด้านนายปิ่นสักก์เปิดเผยว่า การตรวจสอบดีเอ็นเอในครั้งนี้จะเป็นการสกัดเนื้อเยื่องาช้างที่อยู่ฐานล่าง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่งาช้าง และจะดูเรื่องการลงทะเบียนด้วยว่างาช้างที่ยึดมาเป็นงาช้างจากแอฟริกา เอเชีย หรือไทย หากเป็นงาช้างไทยจะต้องมีการตรวจสอบว่ามีการแจ้งลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ถ้ามีการแจ้งลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหาใดๆ ส่วนจะเป็นงาช้างแอฟริกาหรือเอเชียหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้ ต้องรอผลตรวจสอบดีเอ็นเอก่อน
นายปิ่นสักก์กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่านายเปรมชัยมีการยื่นขอลงทะเบียนงาช้างเท่านั้น แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นงาช้างที่ยึดได้หรือไม่ เพราะอยู่ระหว่างตรวจสอบ จึงยังไม่มีสติกเกอร์ของกรมอุทยานฯ ยืนยัน ทั้งนี้ขั้นตอนการตรวจสอบงาช้าง กรมอุทยานฯ จะมีกองคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา (ไซเตส) ทำหน้าที่ตรวจสอบ หากเป็นงาช้างที่ถูกกฎหมายก็จะได้รับสติกเกอร์ยืนยัน โดยล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนขอครอบครองงาช้างในประเทศไทย 4 หมื่นชิ้น หากทราบผลดีเอ็นเองาช้างที่ตรวจในวันนี้ก็จะนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลกับไซเตส เพื่อดูที่มาและถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ทั้งนี้ โดยปกติงาช้างที่สามารถครอบครองได้จะเป็นงาช้างเอเชีย หรืออินเดีย แตกต่างจากงาช้างแอฟริกา ที่ไม่สามารถครอบครองได้ เนื่องจากผิดอนุสัญญาไซเตส และจะมีความผิดข้อหาครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โทษจำคุก 4 ปี ปรับ 40,000 บาท ทั้งนี้ หากประเมินมูลค่างาช้าง 1 กก. มีราคา 40,000-50,000 บาท ซึ่งงาช้างที่ยึดได้จากบ้านนายเปรมชัย ในส่วนที่ตรวจสอบแล้ว 1 กิ่ง มีน้ำหนัก 13.895 กก. คิดเป็นมูลค่าประมาณ 560,000 บาท ดังนั้น งาช้าง 2 คู่ ก็มีมูลค่าสูงกว่า 2,240,000 บาท
ขณะที่ ดร.กณิตาเปิดเผยว่า จากประสบการณ์ที่ทำงานมา ดูงาช้างที่ตรวจวันนี้จากภายนอกยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นงาช้างแอฟริกา หรือเอเชีย เพราะงาช้างแต่ละชนิดมีขนาดไม่แน่นอน เช่น ปกติงาช้างแอฟริกามักมีขนาดใหญ่กว่างาช้างเอเชีย ก็มีความเป็นไปได้ว่างาช้างเอเชียบางตัวจะมีขนาดเท่ากันหรือใหญ่กว่าช้างแอฟริกา จึงต้องรอผลตรวจดีเอ็นเอ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบงาช้างที่ยึดจากบ้านนายเปรมชัยพบว่าเป็นงาช้างที่ผ่านการดัดแปลงโดยใช้แลกเกอร์เพื่อใช้ในการตกแต่ง และถือว่าเป็นงาช้างที่มีสภาพใหญ่สมบูรณ์อีกด้วย