MGR Online - รวบยกแก๊งโรแมนซ์สแกมทั้งไทย-เทศ นำบัตร
“ณิชา” ไปเปิดบัญชีธนาคาร 8 ธนาคาร จำนวน 10 บัญชี ลวงเหยื่อให้โอนเงินเข้าผ่านบัญชี เป็นเหตุต้องถูกดำเนินคดีฐานฉ้อโกง จากการสืบสวนสอบสวนเส้นทางการเงินไม่พบ “ณิชา” รู้เห็นกระทำความผิด
วันนี้ (17 ม.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. แถลงผลการจับกุมนายอายัค ไซมอน อีโก (Ayak Simon Eko) สัญชาติแคเมอรูน, น.ส.เจรติ หรือแอน สายสิน, น.ส.ปวีณา หรืออ้อม สิงห์วิบูลย์ และ น.ส.พรหมพร หรือแตน พงษ์เจริญคุณากร แก๊งคนร้ายที่นำบัตรประชาชนของ น.ส.ณิชา เกียรติธนไพบูลย์ ไปเปิดบัญชีธนาคาร 8 ธนาคาร จำนวน 10 บัญชี ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินเข้าผ่านบัญชีดังกล่าว จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2560 นางการต์สินี ยะเมา อายุ 51 ปี ผู้เสียหายได้เข้ามาแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านตาก จ.ตาก ว่าถูกคนร้ายหลอกลวงว่าจะส่งพัสดุมาจากต่างประเทศมาให้ แต่ผู้รับจะต้องเสียค่าธรรมเนียมจัดส่ง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ทั้งสิ้น 5 ครั้ง เป็นเงินจำนวนกว่า 340,000 บาท และยังได้โอนไปยังบัญชีอื่นๆ อีกหลายครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 1,370,000 บาท เป็นเหตุให้ น.ส.ณิชาถูกดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประชาชน
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า คดีนี้คนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำชัดเจน โดยนายอายัคทำหน้าที่จ้างวานหาบัญชี และเอาบัตรเอทีเอ็มไปกดเงิน ส่วน น.ส.เจรติ หรือแอน สายสิน ทำหน้าที่รับเปิดบัญชี 3 บัญชี น.ส.ปวีณา หรืออ้อม สิงห์วิบูลย์ ทำหน้าที่เปิดบัญชี 5 บัญชี ขณะที่ น.ส.พรหมพร หรือแตน พงษ์เจริญคุณากร ทำหน้าที่รับเปิดบัญชี 2 บัญชี ซึ่งมีการกระทำความผิดหลายพื้นที่ ทั้ง สน.ห้วยขวาง, สน.ภาษีเจริญ, สน.ทุ่งมหาเมฆ, สน.ลาดพร้าว, สน.หลักสอง, สภ.นนทบุรี และ สน.วังทองหลาง จากแผนประทุษกรรมมีลักษณะคล้ายกับแก๊งโรแมนซ์สแกม แต่ที่เหมือนกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือหลอกลวงประชาชนเหมือนกัน
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า จากการสืบสวนสอบสวนทำให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้น สามารถตอบข้อสงสัยของสังคมได้ ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏขณะนี้ยังไม่พบว่า น.ส.ณิชามีความผิด การสืบสวนสอบสวนพิสูจน์ได้ว่า น.ส.ณิชาและครอบครัวบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด ในทางคดีที่ สภ.บ้านตาก พนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานและสั่งไม่ฟ้อง น.ส.ณิชาต่อไป ส่วนที่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับเงินหมุนเวียนในบัญชีจำนวน 6 ล้านบาทนั้น ตรวจสอบแล้วเป็นเงินหมุนเวียนตั้งแต่ปี 2554 ตกเดือนละ 3 แสน ไม่ใช่มีเงินก้อนเดียวถึง 6 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ไม่มีความเชื่อมโยงกับการกระทำความผิด และไม่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แต่อย่างใด โดยการคลี่คลายคดีดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ให้ความสำคัญและกำชับให้ช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ
“ส่วนที่พบว่ามีการโอนเงินจาก น.ส.ปวีณา เข้าบัญชีจริงๆ ของ น.ส.ณิชานั้น สืบสวนพบว่าเป็นเรื่องที่ น.ส.ปวีณาหักหลังกับนายไซมอนเกี่ยวกับค่าจ้าง จึงโอนเงินเข้าบัญชีที่ตัวเองถือไว้ แต่เป็นชื่อ น.ส.ณิชา แต่ด้วยระบบอินเทอร์เน็ตแบงกิ้งที่ทำการเชื่อมโยงบัญชีของผู้ใช้ที่มีชื่อ สกุล เลขบัตรประชาชนเดียวกัน จึงเกิดความผิดพลาด ทำให้ น.ส.ปวีณาเผลอโอนเงินเข้าบัญชีที่บังเอิญเป็นบัญชีจริงๆ ของ น.ส.ณิชา และเมื่อ น.ส.ปวีณารู้ตัวว่าโอนเงินผิดไปเข้าบัญชีให้ น.ส.ณิชาตัวจริง จึงเอาบัตรประชาชนของ น.ส.ณิชาอันที่หายไปที่ น.ส.ปวีณาถืออยู่ไปแอบอ้างกับธนาคารเพื่อถอนเงินกลับในทันที โดยการสืบสวนพบว่า น.ส.ณิชาไม่รู้เห็นเรื่องนี้จริงๆ เพราะเจ้าตัวไม่ได้ตั้งระบบเตือนการเคลื่อนไหวบัญชีทางข้อความ หรือเอสเอ็มเอสอะเลิร์ต เช่นเดียวกับประเด็นการโทรศัพท์ติดต่อกันโดยพบหมายเลขของ น.ส.ณิชา ติดต่อกับกลุ่มคนร้าย และตอนแรกที่พบว่าน้องชายของ น.ส.ณิชา ใช้เบอร์โทร.ที่เปิดโดยกลุุ่มคนร้ายนั้น ที่แท้ความเข้าใจผิด น.ส.ณิชาหลงลืมว่าเบอร์ดังกล่าวที่น้องชายใช้ ตัวเองเคยเปิดใช้สมัยเรียนมัธยม ทิ้งซิมไว้ จนน้องชายมาใช้ล็อกอินเฟซบุ๊ก ประเด็นนี้จึงสิ้นสงสัยเช่นกัน” ผบ.ตร.ระบุ
ส่วนข้อสงสัยที่ น.ส.ณิชาทำบัตรประชาชนหายถึง 3 ครั้งนั้น ผบ.ตร.กล่าวว่า จากการสอบสวนทราบว่า น.ส.ณิชาได้แจ้งบัตรประจำตัวประชาชนหายเพียง 2 ครั้ง โดย น.ส.ณิชาทำบัตรประชาชนครั้งแรกขณะอายุ 15 ปี และบัตรก็หมดอายุไป ก่อนจะทำใหม่อีกครั้งและได้ทำหายที่ร้านสะดวกซื้อ ต่อมา น.ส.ปวีณาได้นำบัตรจากร้านสะดวกซื้อไป ก่อนจะนำไปเปิดสมุดบัญชีเงินฝากในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.หารือกับตัวแทนธนาคารต่างๆ เพื่ออุดช่องโหว่ของธนาคารไม่ให้มิจฉาชีพก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนได้อีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว น.ส.ณิชา พร้อมพี่สาวเดินทางมามอบดอกไม้ให้แก่ ผบ.ตร.และคณะทำงาน พร้อมกล่าวขอบคุณตำรวจ โดยเฉพาะศูนย์ปราบคอลเซ็นเตอร์ที่ทำให้ความจริงปรากฏ โดย น.ส.ณิชากล่าวว่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นบทเรียนให้แก่ตนเอง สังคม เป็นกรณีตัวอย่าง ถ้าใครที่เคยทำบัตรหายให้รีบไปแจ้งความจะได้หาวิธีป้องกันให้ทันท่วงที ยอมรับว่าตั้งแต่เป็นข่าวปรากฏตามสื่อ การใช้ชีวิตค่อนข้างไม่ปกติ เพราะต้องเดินสายพบเจ้าหน้าที่ตลอด ส่วนจะมีการฟ้องธนาคารหรือไม่นั้น ขอปรึกษากับทนายความก่อน เพราะตนไม่มีความรู้ในด้านกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ ขอขอบคุณทางครอบครัว เพื่อน พี่น้องที่ให้กำลังใจมาโดยตลอด