MGR Online - ดีเดย์รูปแบบใบสั่งใหม่ใช้ทั่วประเทศ ถูกจับ - ปรับ จ่ายที่ตู้เอทีเอ็มกรุงไทยได้ทันที ด้าน “จิรพัฒน์” เผย นครบาลนำร่อง มั่นใจใบสั่งใหม่ไร้ปัญหา ชี้เป็นการเพิ่มความสะดวกให้ประชาชน
วันนี้ (17 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันแรกของการเริ่มใช้ใบสั่งแบบใหม่ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อเดือน ส.ค. โดยใบสั่งแบบใหม่มีบาร์โค้ด พร้อมช่องให้ตำรวจจราจรขีดในช่องข้อหา โดยไม่ต้องเขียนด้วยลายมือเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งระบบดังกล่าวจะเชื่อมต่อกับระบบของธนาคารกรุงไทย หากประชาชนถูกจับและได้รับใบสั่ง จะสามารถชำระค่าปรับที่ธนาคารได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาใบสั่งค้างจ่าย และกรณีการเรียกรับเงินจากประชาชน
ซึ่งประชาชนที่โดนใบสั่ง สามารถจ่ายค่าปรับผ่านทางธนาคารได้ภายหลัง 2 วันทำการ หรือหลังจากถูกจับปรับ 2 วัน เนื่องจากตำรวจจราจรจะต้องนำข้อมูลไปบันทึกลงระบบพีทีเอ็มก่อน ขณะที่ใบสั่งจะมีอายุ 7 วัน อย่างไรก็ตาม หากใครต้องการจ่ายเงินค่าปรับที่สถานีตำรวจ ก็สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ครบ 2 วัน แต่กรณีการชำระค่าปรับผ่านทางธนาคาร หากถูกยึดใบขับขี่ จะไม่สามารถทำได้ และการชำระค่าปรับผ่านทางธนาคารจะมีค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อ 1 ใบสั่ง
ขณะที่เรื่องนี้ พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบช.น. (ดูแลงานด้านจราจร) ระบุถึงการใช้งานใบสั่งรูปแบบใหม่ ที่มีบาร์โค้ด ที่มีการนำมาใช้วันนี้เป็นวันแรก ว่า ตลอดในวันนี้ได้มีการกำชับให้มีการรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับการใช้งานของใบสั่งรูปแบบใหม่ เพื่อใช้สรุปและรายงานผลต่อที่ประชุม โดยปกติจะมีการประชุมสรุปในทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งตัวใบสั่งนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเขียนใบสั่งแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการเพิ่มช่องทางการชำระเงิน และการปฏิเสธข้อหาซึ่งในส่วนนี้ผู้ที่ได้รับใบสั่งสามารถเลือกได้ แต่ต้องนำมาติดต่อพนักงานสอบสวน หรือร้อยเวรจราจรได้ นอกเหนือจากพื้นที่นครบาลที่จะเริ่มนำร่องแล้ว ยังมีอีก 3 พื้นที่ ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ภาค 2 และภาค 7 ด้วย โดย ผู้ที่ได้รับใบสั่งแบบบาร์โค้ด สามารถ ชำระผ่านธนาคารกรุงไทย หรือตู้เอทีเอ็ม หรือ อินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง หรือ ไปรษณีย์ และเคาเตอร์เซอร์วิส
ทั้งนี้ มีรายงานว่า สำหรับนโยบายห้ามนั่งท้ายรถกระบะเป็นอีกมาตรการที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เคยเข้มงวดมาแล้วตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา โดยมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากชาวบ้านที่เดินทางกลับภูมิลำเนาต่างได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่ผู้มีรายได้น้อยต่างต้องจับกลุ่มกับเดินทางกลับด้วยกัน เพื่อลดค่าใช้จ่าย การที่เจ้าหน้าที่เข้มงวดห้ามนั่งท้ายรถกระบะ
ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุหลัก คือ การไม่รักษาวินัยจราจรของผู้ขับขี่ โดยปีนี้ก็จะเน้นย้ำกวดขันระเบียบวินัยจราจรเป็นหลักเพื่อลดการสูญเสีย พร้อมจะกวดขันเรื่องการนั่งท้ายรถกระบะ เมาไม่ขับ ที่ต้องกวดขันเพื่อรักษาชีวิตประชาชน ส่วนกรณีจะพิจารณาว่าจะนำมาตรการยึดรถที่เมาขับผิดกฎหมายมาใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้อีกหรือไม่ มาตรการยึดรถได้ผลดี ซึ่งที่ผ่านมาลดการสูญเสียได้จากมาตรการนี้