ศูนย์ข่าวภูเก็ต - หนุ่มใต้ “พูดภาษากลางสำเนียงทองแดง” บุกเดี่ยวสวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบ ใช้ปืนจี้บังคับพนักงานร้าน 7-11 ชิงเงินสด 4,000 กว่าบาท หลังก่อเหตุวิ่งออกจากร้านหลบหนีลอยนวล ตร.เร่งล่าตัว
เมื่อเวลา 03.30 น. วันนี้ (19 พ.ค.) ร.ต.อ.ไกรสร บุญประสพ รอง สว.สอบสวน สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งว่า มีคนร้ายก่อเหตุชิงทรัพย์ที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาอนุสาวรีย์ 1 เลขที่ 69/1 ม.5 ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ขอให้เดินทางไปตรวจสอบด้วย หลังจากได้รับแจ้งจึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น ก่อนเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ถลาง
ที่เกิดเหตุพบ น.ส.บารากิซ ยามาดิบุ อายุ 24 ปี และ น.ส.รถพิรุณ ชูใจ อายุ 32 ปี พนักงานขายประจำร้านสะดวกซื้อดังกล่าวยืนอยู่ในอาการตระหนกตกใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกล่าวว่า ขณะที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่บริเวณหลังเคาน์เตอร์ภายในร้าน เนื่องจากขณะนั้นไม่มีลูกค้า ได้ยินเสียงประตูของร้านสะดวกซื้อดังกล่าวดังขึ้น ตนเข้าใจว่าเป็นลูกค้าเข้ามาซื้อของ จึงรีบวิ่งออกมาประจำเคาน์?เตอร์ ในระหว่างนั้นเองก็เห็นคนร้ายเป็นชาย 1 คน รูปร่างผอม สูงประมาณ 165 ซม. การแต่งกายสวมกางเกงขายาวสีดำ สวมเสื้อกันฝนสีส้ม สวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบสีดำปิดหน้ากากกระจกหมวกกันน็อก โดยใช้ผ้าขนหนูสีน้ำเงินปิดบังหน้าอีกชั้นหนึ่ง
เมื่อเข้ามาถึงชายคนดังกล่าวใช้อาวุธลักษณะคล้ายอาวุธปืนพกสั้น แกว่งไปมา พูดข่มขู่บังคับให้เอาเงินส่งให้ ว่า “เอาเงินมาให้หมดถ้าไม่อยากโดนยิง” ลักษณะคนใต้พูดทองแดง หลังจากนั้นได้ใช้ปืนจี้บังคับให้เปิดลิ้นชักเก็บเงิน ซึ่งขณะนี้ได้ตอบคนร้ายไปไม่สามารถเปิดลิ้นชักได้ ถ้าไม่มีการซื้อของ คนร้ายจึงได้หยิบขนมปังส่งให้พนักงานขายแสกนบาร์โค้ดเพื่อคิดเงิน และเปิดลิ้นชักออกมา และเงินหยิบเงินส่งให้คนร้าย โดยเงินที่คนร้ายได้ไปมีประมาณ 4,100 บาท เมื่อคนร้ายได้เงินแล้วจึงได้เดินออกจากร้าน โดยไม่ทราบว่าคนร้ายเดินทางมาอย่างไร หลังจากคนร้ายหลบหนีไปแล้วจึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาตรวจสอบ และหาตัวคนร้ายเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ร้านสะดวกซื้อดังกล่าวได้เคยถูกคนร้ายเข้าไปก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวแล้ว 1 ครั้ง และครั้งนี้ก็มาถูกก่อเหตุอีก ส่วนการติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุนั้นขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ถลาง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ที่เกิดเหตุ และพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อตรวจสอบเส้นทางการหลบหนีของคนร้าย และติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
เมื่อเวลา 03.30 น. วันนี้ (19 พ.ค.) ร.ต.อ.ไกรสร บุญประสพ รอง สว.สอบสวน สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งว่า มีคนร้ายก่อเหตุชิงทรัพย์ที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาอนุสาวรีย์ 1 เลขที่ 69/1 ม.5 ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ขอให้เดินทางไปตรวจสอบด้วย หลังจากได้รับแจ้งจึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น ก่อนเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ถลาง
ที่เกิดเหตุพบ น.ส.บารากิซ ยามาดิบุ อายุ 24 ปี และ น.ส.รถพิรุณ ชูใจ อายุ 32 ปี พนักงานขายประจำร้านสะดวกซื้อดังกล่าวยืนอยู่ในอาการตระหนกตกใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกล่าวว่า ขณะที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่บริเวณหลังเคาน์เตอร์ภายในร้าน เนื่องจากขณะนั้นไม่มีลูกค้า ได้ยินเสียงประตูของร้านสะดวกซื้อดังกล่าวดังขึ้น ตนเข้าใจว่าเป็นลูกค้าเข้ามาซื้อของ จึงรีบวิ่งออกมาประจำเคาน์?เตอร์ ในระหว่างนั้นเองก็เห็นคนร้ายเป็นชาย 1 คน รูปร่างผอม สูงประมาณ 165 ซม. การแต่งกายสวมกางเกงขายาวสีดำ สวมเสื้อกันฝนสีส้ม สวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบสีดำปิดหน้ากากกระจกหมวกกันน็อก โดยใช้ผ้าขนหนูสีน้ำเงินปิดบังหน้าอีกชั้นหนึ่ง
เมื่อเข้ามาถึงชายคนดังกล่าวใช้อาวุธลักษณะคล้ายอาวุธปืนพกสั้น แกว่งไปมา พูดข่มขู่บังคับให้เอาเงินส่งให้ ว่า “เอาเงินมาให้หมดถ้าไม่อยากโดนยิง” ลักษณะคนใต้พูดทองแดง หลังจากนั้นได้ใช้ปืนจี้บังคับให้เปิดลิ้นชักเก็บเงิน ซึ่งขณะนี้ได้ตอบคนร้ายไปไม่สามารถเปิดลิ้นชักได้ ถ้าไม่มีการซื้อของ คนร้ายจึงได้หยิบขนมปังส่งให้พนักงานขายแสกนบาร์โค้ดเพื่อคิดเงิน และเปิดลิ้นชักออกมา และเงินหยิบเงินส่งให้คนร้าย โดยเงินที่คนร้ายได้ไปมีประมาณ 4,100 บาท เมื่อคนร้ายได้เงินแล้วจึงได้เดินออกจากร้าน โดยไม่ทราบว่าคนร้ายเดินทางมาอย่างไร หลังจากคนร้ายหลบหนีไปแล้วจึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาตรวจสอบ และหาตัวคนร้ายเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ร้านสะดวกซื้อดังกล่าวได้เคยถูกคนร้ายเข้าไปก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวแล้ว 1 ครั้ง และครั้งนี้ก็มาถูกก่อเหตุอีก ส่วนการติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุนั้นขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ถลาง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ที่เกิดเหตุ และพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อตรวจสอบเส้นทางการหลบหนีของคนร้าย และติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป