MGR Online - กรรมการบริษัท โอเอฯ แจ้งจับ 2 นายตำรวจผู้กำกับฯ ผู้รับผิดชอบคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และแจ้งความเท็จกล่าวหาว่าพวกตันทำตัวเป็นอั้งยี่ จนศาลมีคำพิพากษายกฟ้องคดี แต่กระทบต่อเชื่อเสียงธุรกิจของครอบครัว
วันนี้ (28 ก.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.30 น. นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี อายุ 27 ปี กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด พร้อมด้วย ทนายความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว ผกก. ควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และ พ.ต.ท.ธรรมรักษ์ เรืองดิษฐ์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.พญาไท ซึ่งทำคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ เบิกความเท็จ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบไว้เป็นหลักฐาน
นายวสุรัตน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 ทางพนักงานสอบสวนคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ได้มีการนำความเท็จมาพิจารณาดำเนินคดีตนกับพวก ในข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งที่ 813/2559 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2559 แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวน รวม 35 นาย รวมถึงคำสั่งที่ 823/2559 ลงวันที่ 6 กันยายน 2559 และคำสั่งที่ 831/2559 ลงวันที่ 13 กันยายน 2559 แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนเพิ่มอีก 16 และ 18 คน ตามลำดับ รวมมีพนักงานสอบสวน 69 คน ซึ่งพิจารณาคดีก่อนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา 13 ราย ตามความผิด พ.ร.บ. ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา จนได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง และตกเป็นจำเลยสังคม
นายวสุรัตน์ กล่าวต่อว่า จากนั้นศาลอาญา ได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ศาลจะยกฟ้องแต่ที่ผ่านมา บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม และเมื่อตกเป็นข่าวก็ทำให้บริษัทซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่สร้างขึ้นมานานกว่า 30 ปี ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างมาก เกิดความเสียหายต่อธุรกิจนับพันล้านบาท จึงพิจารณาแจ้งความดำเนินคดี พ.ต.อ.สุรศักดิ์ และ พ.ต.ท.ธรรมรักษ์ ในครั้งนี้ รวมถึงผู้ร่วมกระทำการหรือสนับสนุนการกระทำความผิดทุกคน
“ผมและครอบครัวอดทนอดกลั้นมานาน ถูกดำเนินคดีในข้อหาอั่งยี่ ซ่องโจร ถูกคุมขังในเรือนจำมีคำสั่งห้ามประกันตัว เกือบทั้งครอบครัวนานร่วม 5 เดือน ตกเป็นจำเลยสังคม ธุรกิจครอบครัวที่สร้างมานานกว่า 30 ปี ต้องพังทลายชั่วพริบตา ตกเป็นหนี้สินพะรุงพะรังหลายพันล้าน พนักงานนับพันชีวิตต้องถูกลอยแพ ครอบครัวพนักงานต้องลำบาก แต่ในที่สุดศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง อย่างไรก็ตามวันนี้ผทไม่รู้ว่าครอบครัวจะถูกกระทำอะไรอีก อยากให้ทุกสิ่งอย่างกลับมาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่หวังกลับตรงกันข้าม ครอบครัวยังถูกผู้ไม่หวังดีคุกคามอย่างต่อเนื่อง จึงตัดสินใจมาร้องขอความเป็นธรรมจากตำรวจกองปราบปรามเพราะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของผมและครอบครัวแล้วจริงๆ” นายวสุรัตน์ กล่าว
นายวสุรัตน์ กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวเชื่อมั่นในตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระบวนการยุติธรรม วันนี้ขอความเป็นธรรมกับครอบครัวและพนักงานบริษัทอีกหลายชีวิต การเดินทางร้องทุกข์ครั้งนี้ เพราะถูกดำเนินคดีโดยไม่มีความผิด ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่ผู้อื่นๆได้รับผลกระทบ หลังจากศาลยกฟ้องทางครอบครัวคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่กลับกันมีข่าวลือหลายๆ อย่าง มีการกลั่นแกล้ง แอบอ้างถึงผู้ใหญ่มากระทำใส่ จนทุกวันนี้แทบไม่มีที่ยืนในสังคม ทำให้ต้องมาพึ่งกองปราบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าถูกคุกคาม และมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร นายวสุรัตน์ ตอบว่า ขอให้เป็นทางกองปราบในการสืบสวนชี้แจงความจริง
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ในทางคดีถือว่ายังไม่สิ้นสุด ยังมีกรอบระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ ในส่วนนี้จะทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้นหรือไม่ นายวสุรัตน์ ตอบว่า ปล่อยไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ขอตอบเรื่องนี้ เช่นเดียวกับรายละเอียดของการคุกคามที่ตนขอให้ทางกองปราบเป็นผู้นำความจริงมาชี้แจง ไม่อยากไปกล่าวหาโดยพูดปากเปล่า
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ก่อนหน้านี้ ทางบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด ได้ออกหมายแจ้งสื่อมวลชนว่าจะมีการดำเนินการเอาผิดกับ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาการ รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) ในฐานความผิด 157 แต่ถึงเวลานัดหมายกับไม่ได้มีการแจ้งความเอาผิดนายตำรวจคนดังกล่าว นายวสุรัตน์ ตอบว่า ขอยืนยันว่า ทางเราดำเนินคดีกับทางเจ้าหน้าที่รัฐเพียง 2 คน เท่านั้น ทางบริษัทไม่เคยชี้แจงลักษณะนั้น ไม่รู้ว่าเป็นการปล่อยข่าวให้ข้อมูลหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า การถูกดำเนินคดีในครั้งนี้มีเบื้องหลังหรือไม่ นายวสุรัตน์ ตอบว่า ส่วนนี้ฝากสื่อมวลชนช่วยหาข้อมูลให้ด้วย หลังจากนี้ คงไม่สามารถตอบได้ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เนื่องจากบัญชีบริษัท รถบัสยังถูกอายัดอยู่ แม้จะเกินกรอบระยะเวลา 90 วัน แต่ทางเราก็ไม่ได้นำรถมาดำเนินธุรกิจต่อ ในระยะเวลา 1 ปี ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ว่าเสียหายไปเท่าไร อย่างไรก็ตามขณะนี้คงเป็นการดำเนินคดีในส่วนของอาญา ในส่วนจะร้องทุกข์เรียกค่าเสียหายทางแพ่งหรือไม่นั้น คงต้องมีการปรึกษากันอีกที
ด้าน พ.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการรับคำร้องทุกข์ สอบปากคำเพื่อประกอบสำนวน โดยขณะนี้มีได้มีกล่าวโทษนายตำรวจสองนายเท่านั้น คือ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว ผกก.ควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ต.ท.ธรรมรักษ์ เรืองดิษฐ์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.พญาไท ในข้อหาแจ้งความเท็จ เบิกความเท็จ และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สร้างความเสียหายให้แก่บริษัทฯ ซึ่งคดีดังกล่าวถือว่ายังไม่สิ้นสุด แต่ในเมื่อมีการร้องทุกข์ก็ต้องดำเนินการ ซึ่งทางกองปราบทำได้เพียงรับคำร้องทุกข์ จากนั้นก็จะนำคำร้องทุกข์ส่งให้ทาง ป.ป.ช. โดยขั้นตอนจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะใช้เวลา 30 วัน ในการสอบปากคำผู้กล่าวหา รวบรวมหลักฐานทางคดี ซึ่งทางผู้ถูกกล่าวหาสามารถยื่นข้อเท็จจริงได้ เพื่อนำไปประกอบสำนวน ก่อนส่งเรื่องให้กับทาง ป.ป.ช. พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป