xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก “สรยุทธ” 13 ปี 4 เดือน โกง อสมท 138 ล้าน คุมตัวเข้าคุก รอศาลฎีกาชี้ขาดประกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา (ภาพจากแฟ้ม)
MGR Online - ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก “สรยุทธ” และพวก 13 ปี 4 เดือน ยักยอกเงินค่าโฆษณาช่อง 9 อสมท 138 ล้านบาท ทนายยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวคนละ 4 ล้าน แต่ต้องรอศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาสั่งประกัน โดยใช้เวลา 1 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่นำจำเลยทั้งหมดเข้าเรือนจำไว้ก่อน



วันนี้ (29 ส.ค.) เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้อง นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดย น.ส.อังคนา วัฒนมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม ในฐานะ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง และ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม เป็นจำเลย 1-4 ในความผิดฐานเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์กร, เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ม.6, 8 และ 11 กรณีการยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 อสมท กว่า 138 ล้านบาท

คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2559 จำคุกจำเลยที่ 1 นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 30 ปี ปรับจำเลยที่ 2 บริษัท ไร่ส้ม จำกัด กระทงละ 2 หมื่นบาท รวมปรับ 1.2 แสนบาท จำคุกจำเลยที่ 3 นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และจำเลยที่ 4 น.ส.มณฑา ธีระเดช กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 3 และ 4 คนละ 20 ปี แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 และ 4 คนละ 13 ปี 4 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 8 หมื่นบาท ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยที่ 1, 3 และ 4 โดยจำเลยทั้งหมดได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี

ทั้งนี้ นายสรยุทธได้เดินทางมาถึงศาลด้วยรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูสีดำ เมื่อมาถึงเดินเข้าไปยังด้านหลังของศาล หลีกเลี่ยงไม่ให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ ก่อนเดินเข้าไปยังห้องพิจารณาคดี

คดีดังกล่าวอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2558 ระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2548 - 28 เม.ย. 2549 นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำคิวโฆษณารวมในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลา จาก บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 จำนวน 17 ครั้ง ทำให้ บมจ.อสมท เสียหาย 138,790,000 บาท และยังได้เรียกรับเอาเงิน 658,996 บาท จากจำเลยที่ 2-4 เพื่อเป็นการตอบแทนที่นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ไม่รายงานการโฆษณา จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การร่วมผลิตรายการ จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นพิธีกรจัดรายการทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษรระบุชัดว่าถ้ามีโฆษณาเกินกว่าส่วนแบ่ง จำเลยที่ 2 ต้องขอซื้อโฆษณาส่วนเกินย้อนหลังและชำระค่าโฆษณาเกินให้แก่บริษัท อสมท จำกัด โดยจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิ์แบ่งค่าโฆษณาส่วนเกินคนละเท่าๆ กับ บริษัท อสมท นอกจากนี้ศาลปกครองสูงสุดยังมีคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 จะต้องชำระค่าโฆษณาส่วนเกินและไม่มีสิทธิ์ได้รับส่วนลดทางการค้าปกติร้อยละ 30 จากค่าโฆษณาส่วนเกิน 138,790,000 บาท เพราะจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขณะที่ จำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่จัดทำคิวโฆษณา แต่ไม่รายงานการโฆษณาที่เกินเวลาให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เป็นเหตุให้ อสมท ได้รับความเสียหาย ตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบทั้งสองชุดที่ อสมท ตั้งขึ้น นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังใช้น้ำยาลบคำผิดลบรายการโฆษณาที่เกินเวลาในส่วนของจำเลยที่ 2 ออกจากใบคิวโฆษณารวม แสดงถึงการปกปิดข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยที่เป็นพนักงานมีหน้าที่จัดการทรัพย์และรับเงินตามเช็ค เป็นการต้องห้าม จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6, 8, 11 ประกอบ ป.อาญา มาตรา 83

ส่วนนายสรยุทธ จำเลยที่ 3 เป็นผู้มีอำนาจจัดการและเป็นพิธีกรจัดรายการมาโดยตลอด ดังนั้นจำเลยที่ 3 น่าจะทราบเนื้อหางานเป็นอย่างดี การใช้เงินแม้จะให้โดยเสน่หา แต่ไม่รายงานให้ทราบก็เป็นการสนับสนุน ในทางนำสืบศาลเห็นด้วยกับ ป.ป.ช.ว่าจำเลยจ่ายเช็คเพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการใด ทำให้หน่วยงานของรัฐได้รับความเสียหาย การที่จำเลยที่ 2-4 นำเช็คไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ถือเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเพราะการไม่รายงานโฆษณาเกินเวลาของจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับประโยชน์ จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 บริษัทไร่ส้มได้ชำระค่าโฆษณาส่วนเกิน จำนวน 138,790,000 บาท แก่ อสมท แล้ว จึงลงโทษสถานเบา

พิพากษาจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ มาตรา 6, 8, 11 จำเลยที่ 2-4 มีความผิดฐานสนับสนุนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 6, 8, 11 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 6 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษสุด รวม 6 กระทง ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 30 ปี ปรับจำเลยที่ 2 กระทงละ 2 หมื่นบาท รวมปรับ 1.2 แสนบาท จำคุกจำเลยที่ 3 และ 4 กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 3 และ 4 คนละ 20 ปี แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี จำคุกจำเลยที่ 3และ 4 คนละ 13 ปี 4 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 8 หมื่นบาท ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยที่ 1, 3 และ 4

ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดี

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการจัดทำคิว และทราบความเป็นไปของรายละเอียดการโฆษณาตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นสำนึกในหน้าที่จะต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของรัฐ จะอ้างว่ามีช่องว่างทางการตรวจสอบไม่ได้ เมื่อมีโฆษณาเกินก็จะต้องจ่ายค่าโฆษณา แต่นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ใช้น้ำยาลบคำผิดในใบคิวโฆษณาของบริษัทไร่ส้ม จำเลยที่ 2 แม้จะอ้างว่าทำไปเพราะตกใจกลัวจะต้องรับผิดก็เป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนัก

ส่วนที่บริษัทไร่ส้ม จำเลยที่ 2 และนายสรยุทธ จำเลยที่ 3 อ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลบรายการในใบคิวโฆษณา เห็นว่านางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ยอมรับเกี่ยวกับเหตุผลในการลบรายการใบคิวอ้างว่าได้รับการร้องขอจากนายสรยุทธ จำเลยที่ 3

ที่บริษัทไร่ส้ม และนายสรยุทธ กล่าวอ้างจึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่น่าเชื่อถือ ส่วนคุณงามความดีที่นายสรยุทธ กล่าวอ้างนั้นเป็นเรื่องของประวัติและความดีคนละส่วนกับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด ศาลต้องพิเคราะห์จากพยานหลักฐานที่ปรากฎจากการไต่สวน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 4 คน กระทำความผิดหลายกรรมด้วยการมอบเช็ค 6 ฉบับ ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน จำคุกจำเลยที่ 3 และ 4 คนละ 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 8 หมื่นบาท

ภายหลังต่อมา เวลา 11.00 น. นายมนต์อนันต์ เรืองจรัส ทนายความของนายสรยุทธ เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินยืนโทษจำคุกและโทษปรับตามศาลชั้นต้นสำหรับจำเลยทั้ง 4 คนว่า เตรียมจะยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดและบัญชีเงินฝากขอประกันตัวระหว่างฎีกา ซึ่งเดิมชั้นต้นได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดไว้ซึ่งศาลตีประกันชั้นต้น คนละ 2 ล้านบาท วันนี้ต้องรอดูว่าศาลจะพิจารณาตีหลักทรัพย์อย่างไร และสำหรับการยื่นฎีกาคดีนี้สามารถยื่นได้ตามขั้นตอนของกฎหมายเดิมทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ทนายความได้เดินไปบริเวณใต้ถุนศาลซึ่งเป็นห้องควบคุมจำเลยก็ได้มีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด

ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น. ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้พิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของนายสรยุทธ และจำเลยร่วมทั้งหมดแล้ว ซึ่งยืนหลักทรัพย์เงินสด และบัญชีเงินฝากคนละ 4 ล้านบาทแล้ว และมีความเห็นควรส่งคำร้องให้ศาลฎีกาเป็นผู้สั่งประกันต่อไป ขณะนี้ศาลอาญาทุจริตฯ ได้ออกหมายขังจำเลยทั้งหมด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวไปคุมขังไว้ที่เรือนจำก่อนระหว่างรอฟังคำสั่งการประกันตัวจากศาลฎีกา คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์


นายมนต์อนันต์ เรืองจรัส ทนายความของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อ 29 ก.พ.59(ภาพจากแฟ้ม)
กำลังโหลดความคิดเห็น