MGR Online - ตำรวจโคกคราม คุมตัว “จ่ายักษ์” กับเพื่อนแก๊งนายพลอุ้มรีดทรัพย์เสี่ยการบิน 20 ล้าน ฝากขังอีก 2 ราย ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขัง โดยไม่มีญาติยื่นประกัน ผู้คุมจึงนำตัวไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
วันนี้ (17 ส.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 15.00 น. ร.ต.อ.วิทยา คงทอง พนักงานสอบสวน สน.โคกคราม นำตัว นายฐิติกร หรือจ่าต้อย ชื่นอุรา อายุ 37 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ และนายอุทิศ หรือจ่ายักษ์ ก่อแก้ว สารวัตรทหารนอกราชการ อายุ 50 ปี ชาว กทม. ผู้ต้องหาที่ 1-2 ร่วมแก๊งอุ้มรีดทรัพย์นักธุรกิจท่องเที่ยวเรียกเงิน 20 ล้านบาท ในข้อหาร่วมกันกระทำการอันเป็นสมาชิกอั้งยี่, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น และร่วมกันเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสองเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209, 309 วรรคสอง, 310, 310 ทวิ, 337, 362, 365 (2) ประกอบกฎหมายอาญา ม.83 มาขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-28 ส.ค.นี้ ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การภาคเสธ
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ค.เวลากลางวัน ขณะที่นายทรงศักดิ์ วิโรจน์ถาวรกิจ และนายสุรชัย แซ่ย่าง กำลังทำงานอยู่ที่บริษัท คันต้า กรุ๊ป ไทยแลนด์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 68 ซอยนวลจันทร์ 34 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กทม. บริษัทของนายสุรชัย ผู้เสียหาย ได้มีนายฐิติกร ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบสังกัด กอ.รมน.พร้อมพวกซึ่งแต่งชุดลายพรางทหารบก รวมประมาณ 10 คน มีนายอุทิศ ผู้ต้องหาที่ 2 รวมอยู่ด้วยบุกรุกเข้าไปในบริษัทฯ และเจอตัวนายทรงศักดิ์จึงให้พาไปพบนายสุรชัยที่อยู่ในห้องทำงาน จากนั้นกลุ่มคนดังกล่าวจึงได้นำเอกสารที่อ้างว่าได้ตรวจสอบประวัตินายสุรชัยมาแล้วว่าเป็นบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชนปลอม โดยผู้ต้องหาที่ 1-2 บอกว่าจะพาไปพบ “นาย” ซึ่งหมายถึง พล.ต.จรูญ อำภา สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย จากนั้นทั้งหมดจึงบังคับให้นายทรงศักดิ์และนายสุรชัยขึ้นรถยนต์เดินทางไปที่โรงเรียนดอนเมืองจาตุรจินดา เมื่อไปถึงทั้งหมดได้พบกับ พล.ต.จรูญ และบอกว่านายสุรชัยเป็นบุคคลสวมบัตรประจำตัวประชาชน จากนั้น พล.ต.จรูญจึงได้สอบถามนายสุรชัยว่าทำบัตรประจำตัวประชาชนปลอมจริงหรือไม่ หากทำจริงก็ให้รับมา และให้ทำการแก้ไขให้ถูกต้อง ให้ทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ไป พูดเสร็จแล้ว พล.ต.จรูญก็เดินออกไป จากนั้นผู้ต้องหาทั้งหมดกับพวกได้บังคับข่มขู่เรียกเอาเงินจากนายสุรชัย เพื่อแลกกับการไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจับกุมตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้สูญเสียอิสรภาพ นายสุรชัยจึงได้มอบเงินจำนวน 1 ล้านบาทให้แก่กลุ่มผู้ต้องหากับพวกไป และวันที่ 17 ก.ค. 2560 ยังได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชีนายโอภาส ศรียา หนึ่งในผู้ต้องหาอีกจำนวน 1 ล้านบาท กระทั่งผู้ต้องหาทั้งสองถูกจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบว่า ก่อนลงมือก่อเหตุกลุ่มผู้ต้องหาได้มาดูลาดเลาสถานที่เกิดเหตุ ร่วมกันประชุมวางแผน แบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน เหตุเกิดที่บริษัท คันต้า กรุ๊ป ไทยแลนด์ จำกัด เลขที่ 68 ซอยนวลจันทร์ 34 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กทม.
ท้ายคำร้องยังระบุว่า พนักงานสอบสวนได้สอบสวนผู้ต้องหาจะครบ 48 ชั่วโมงแล้ว แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นจะต้องรอสอบปากคำพยานอีก 5 ปาก, รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร พร้อมขอค้านการประกันเนื่องจากเกรงจะหลบหนีและยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขออำนาจศาลฝากขัง ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตตามคำร้อง
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ไม่มีญาติผู้ต้องหายื่นคำร้องหรือหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสองแต่อย่างใด ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวน สน.โคกคราม ได้ฝากขังผู้ต้องหาในคดีนี้แล้ว 3 คน ประกอบด้วย พ.ต.ต.ณัฐกฤษต์ หรือนายณัฐกฤษต์ ยุทยา อายุ 42 ปี ชาว จ.นครสวรรค์ พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ., นายโอภาส ศรียา อายุ 39 ปี ชาว จ.ชัยภูมิ และนายโก๊ะห์ เต๊ก ชวน (Goh Teck Chuan) อายุ 49 ปี สัญญาติสิงคโปร์ แต่ได้ประกันตัว 2 คน คือ พ.ต.ต.ณัฐกฤษต์ และนายโก เทช ชาวสิงคโปร์ ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 3 โดยตีราคาประกันคนละ 200,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาต