MGR Online - ผบช.สตม.แถลงผลการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ชาวจีน หลอกเหยื่อกว่า 1,000 คน โอนเงินมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท พบมีสมาชิกมากกว่า 100 คน เชื่อมโยงกว่า 6 ประเทศ โดยใช้เล่ห์อ้างเป็น จนท.ธนาคาร หลอกเหยื่อพัวพันกับอาชญากรรมร้ายแรง พบมีคนไทยร่วมขบวนการไม่ต่ำกว่า 5 คน
วันนี้(23 ก.ค.)เมื่อเวลา 14.00 น.ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) แถลงผลการกุมจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรข้ามประเทศ หลอกเหยื่อโอนเงิน มีผู้เสียหายกว่า 1,000 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
พล.ต.ท.ณัฐธร กล่าวว่า คดีนี้เป็นการประสานความร่วมมือกับฝ่ายกิจการตำรวจ สถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่คุมตัวสมาชิกแก๊งดังกล่าวได้จำนวน 44 คน เป็นชาวจีน 19 คน ไต้หวัน 25 คน ในบ้านเช่าที่ทำเป็นฐานคอลเซ็นเตอร์หลายจุด ทั้งกรุงเทพ ปริมณฑล พัทยา พบของกลางเป็นโทรศัพท์มือถือ, โน็ตบุ๊ค , สคลิปบทพูดเพื่อหลอกเหยื่อ และอุปกรณ์ปฏิบัติการ
"เครือข่ายดังกล่าว เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีสมาชิกกว่า 100 คน เชื่อมโยงกว่า 6 ประเทศ โดยมีพฤติการณ์ ใช้โทรศัพท์ข้ามประเทศผ่านระบบ การสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต (Voice over Internet Protocol) หลอกลวงเหยื่อข้ามประเทศ โดยอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร หลอกเหยื่อว่าพัวพันกับอาชญากรรมร้ายแรง และกำลังจะถูกอายัดบัญชีเพื่อตรวจสอบ พร้อมให้เหยื่อติดต่อกลับไปที่บุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และตำรวจ ซึ่งเป็นสมาชิกร่วมแก๊ง หลังจากนั้นจะให้เหยื่อไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม ซึ่งผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นชาวจีนสูงอายุ และข้าราชการบำนาญ ที่อยู่ในประเทศจีน รวมทั้งชาวจีนที่อยู่ในประเทศไทย และมีผู้เสียหายบางส่วนเป็นคนไทยด้วย จึงทำให้การตรวจสอบเป็นไปค่อนข้างยาก"ผบช.สตม.ระบุ
พล.ต.ท.ณัฐธร กล่าวด้วยว่า ผู้ก่อเหตุกลุ่มนี้เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว สามารถอยู่ในประเทศไทยได้ 90 วัน หลังจากนั้นจะเดินทางออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีคนไทยไม่ต่ำกว่า 5 คน ให้การสนับสนุนทั้งการเช่าบ้าน จัดหาอุปกรณ์ต่างๆ และเปิดบัญชีธนาคาร รวมทั้งแจ้งความเคลื่อนไหวตลอดเวลา สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 4 คนเบื้องต้นทาง สตม. ได้เพิกถอนวีซ่าของขบวนการดังกล่าว และเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาที่ก่อเหตุในประเทศไทย ก่อนส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศต้นทางต่อไป