MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษากลับให้จำคุก “จตุพร พรหมพันธุ์” ประธาน นปช.เป็นเวลา 1 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานหมิ่นประมาท “อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ” กรณีปราศรัยที่ัวัดไผ่เขียว ปี 52 กล่าวหาเป็นทรราชฟันน้ำนม สั่งฆ่าประชาชน
วันนี้ (20 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 914 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.1962/2552 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332
โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2552 ระบุว่า วันที่ 10 พ.ค. 52 นายจตุพร จำเลยได้ปราศรัยด้วยเครื่องกระจายเสียงต่อหน้าประชาชนจำนวนกว่าหมื่นคน ใส่ความรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ขณะนั้น) ทำนองว่าเป็นรัฐบาลภายใต้ทรราชฟันน้ำนม รวมทั้งกล่าวหาว่าโจทก์เป็นนคนสั่งทหารให้ไปยิงประชาชน เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน ใส่ร้ายประชาชนกลุ่มคนเสื้อแดง โจทก์จะต้องถูกประหารชีวิตในข้อหาฆ่าคนตาย และข้อความอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างมาก ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนที่ได้ยินได้ฟังการปราศรัยของจำเลย เหตุเกิดที่วัดไผ่เขียว แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. คดีนี้หลังจากศาลไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2555 ให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่าทางนำสืบรับได้ว่าเป็นกรณีที่ได้มีการปราศรัย แถลงข่าว วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นการตอบโต้ทางการเมืองทางวิธีทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย จึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เป็นมูลเหตุที่นำมาสู่การกล่าวหมิ่นประมาทที่มิใช่เพียงการโต้ตอบทางการเมือง
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบมาแล้วนั้น รูปคดีมีเหตุผลที่ทำให้จำเลยเชื่อว่าน่าจะมีมูลเหตุในเรื่องที่จำเลยได้กล่าวถึงจริง การกล่าวของจำเลยเป็นการปกป้องตนหรือป้องกันส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนยกฟ้องจำเลย ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จากข้อเท็จจริงเห็นว่าโจทก์ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเสร็จไปก่อนเกิดความไม่สงบที่กระทรวงมหาดไทย ไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์จะสร้างสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีก และไม่สมเหตุผลที่โจทก์จะต้องสร้างสถานการณ์ไม่สงบให้เกิดขึ้น เพราะอาจทำให้มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเสถียรภาพของรัฐบาลโจทก์ เมื่อพิจารณาภาพเหตุการณ์ประกอบหนังสือพิมพ์ปรากฏว่าวันดังกล่าวมีกลุ่มคนสวมเสื้อแดงรุมทุบทำลายรถนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บ หากรัฐบาลโจทก์จัดฉากก็น่าจะนำนายนิพนธ์ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในรัฐบาลออกไปพร้อมโจทก์ด้วย ไม่น่าจะจัดฉากสร้างสถานการณ์ ข้ออ้างไม่มีน้ำหนัก
จำเลยในฐานะแกนนำมวลชนกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความขัดแย้งทางการเมืองกับโจทก์อย่างรุนแรง จึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัด และวิเคราะห์ข้อมูลให้รอบด้านก่อนที่จะมีการกล่าวปราศรัยต่อกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะการปราศรัยของจำเลยในฐานะแกนนำดังกล่าว ย่อมเป็นข่าวออกไปและส่งผลกระทบต่อโจทก์ รวมทั้งสังคมอย่างกว้างขวาง หรือถ้าหากจำเลยต้องการที่จะกล่าวปราศรัยถึงเหตุการณ์ความไม่สงบที่กระทรวงมหาดไทย จำเลยก็อาจกล่าวอ้างว่าได้ข้อมูลมาอย่างไร ในลักษณะไม่ยืนยันข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลของโจทก์เป็นผู้จัดฉากสร้างสถานการณ์ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงทุบรถของโจทก์ โดยความจริงโจทก์ก็ไม่ได้อยู่ในรถ เพื่อให้เห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงมีอาวุธ ก่อเหตุร้ายในที่ต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง โดยจำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะยืนยันว่ารัฐบาลของโจทก์จัดฉากสร้างสถานการณ์ขึ้นโดยโจทก์ไม่ได้อยู่ในรถคันเกิดเหตุที่กระทรวงมหาดไทย
จึงเป็นกรณีเลือกเชื่อที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงเฉพาะส่วนนี้มาใส่ความโจทก์เพื่อหวังผลทางการเมือง หาใช่เป็นการเชื่อโดยสุจริต การกล่าวปราศรัยของจำเลยไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนเอง หรือมีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 วรรคหนึ่ง และเมื่อฟังได้ว่าไม่ได้แสดงความเห็นโดยสุจริตแล้ว การกระทำย่อมไม่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามโจทก์ฟ้อง ที่ศาลล่างพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี พร้อมให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาลงในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เดลินิวส์ มติชน ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน โดยให้จำเลยชำระค่าโฆษณา
ภายหลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้ควรคุมตัวนายจตุพรที่ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้ม ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อรับโทษตามคำพิพากษาต่อไป