ทหารส่งมอบคนร้ายตัวจริงคดีฆ่าคนตายในปี 2557 เป็นชายแก่วัย 70 ปี อยู่ในสภาพไม่สามารถเดินได้ปกติ “รอง ผบ.ตร.” แจงพยานหลักฐานคลาดเคลื่อนทำ “ป้าบังอร” ตกเป็นแพะ ไม่ใช่เพราะแค่มีชื่อซ้ำ
วันนี้ (18 ก.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 16.30 น. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.ส.4 พล.ต.ต.ณัฐแก้ว เมตตามิตรพงศ์ ผบก.ประจำ สนง.ผบ.ตร. พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รอง ผบก.น.1 พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. และพนักงานสอบสวน บก.ป. เดินทางมารอรับการส่งมอบตัว นายบุญฤทัย นพมาศ อายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/9 หมู่ 4 ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 1632/60 ลงวันที่ 15 ก.ค. 60 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ก.ค. นางบังอร คำพวง อายุ 51 ปี พร้อมด้วย นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความ เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรม ต่อ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลัง นางบังอร ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 307/57 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 ในคดี นายสุทน วงศ์วิริยะ อายุ 45 ปี ถูกคนร้ายทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต บริเวณ ถ.กำแพงเพชร 6 แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพฯ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 เวลาประมาณ 23.00 น. โดยที่ตัว นางบังอร นั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทหาร โดยมีแพทย์ จาก รพ.ตร. ทำการตรวจร่างกาย ก่อนแสดงหมายจับให้ผู้ต้องหารับทราบ ส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนดำเนินคดี
จากนั้น นางบังอร พร้อมด้วย นายสงกานต์ และประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์จะเดินทางมายังกองปราบปราม ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ให้ประจักษ์พยานทำการชี้ตัวผู้ต้องหา ประกอบสำนวน
พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า หลังจากทราบเรื่อง พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิด และตรวจดีเอ็นเอ ในที่เกิดเหตุ ซึ่งพบว่าไม่ตรงกับนางบังอร จึงเชื่อได้ว่า นางบังอรไม่ใช่คนร้ายในคดีดังกล่าว จากนั้นวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ต.อ.สุรพล ขาวคม ซึ่งเคยเป็นพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น คดีของนางบังอร ได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อให้ดำเนินคดีกับ นายบุญฤทัย และ นางอ้อย ไม่ทราบชื่อ - สกุลจริง ซึ่งปรากฏตามภาพกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ
พล.ต.ต.ชยพล กล่าวต่อว่า กระทั่งวันที่ 12 กรกฎาคม เวลา15.30 น. เจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจพบชายต้องสงสัย มีพฤติการณ์มั่วสุมบ่อนการพนัน เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพล ซึ่งมีลักษณะตรงกับบุคคลที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดที่สถานีรถไฟ จึงได้เชิญตัวมาให้พยานชี้ตัว บริเวณชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพยานยืนยันว่า นายบุญฤทัย เป็นคนร้ายในคดีดังกล่าว ก่อนที่ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานก่อนขออำนาจศาลอาญาเพื่อออกหมายจับ นายบุญฤทัย กับ นางอ้อย ตามภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาเลขที่ 1630/60 ลงวันที่ 15 ก.ค.60 ในข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา”
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า สำหรับผลการชี้ตัว พยานยืนยันว่า นายบุญฤทัย เป็นผู้กระทำความผิด ส่วน นางบังอร ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด นอกจากนี้ นางบังอร ยังมีประจักษ์พยานที่บอกได้ว่านางบังอรไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ จึงให้นำพยานมาสอบปากคำ และจากการตรวจดีเอ็นเอในที่เกิดเหตุก็พบว่าไม่ตรงกับนางบังอร อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีการออกหมายจับนางบังอร นั้นไม่ได้มาจากกรณีของการที่มีชื่อซ้ำกัน แต่เกิดจากความคลาดเคลื่อนในพยานหลักฐาน เนื่องจากต้องมีพยานชี้ตัวผู้กระทำผิด ไม่ได้ชี้ชื่อ - นามสกุล ทั้งนี้ ต้องมีหลักฐานพอสวมควรศาลจึงออกหมายจับ แต่หลักฐานอาจจะคลาดเคลื่อน ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า นางอ้อย อยู่ในเรือนจำทางภาคใต้ ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่าไม่ใช่ เพราะอายุต่างกัน
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการสอบสวน นายบุญฤทัย ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ใช้ไม้ตีผู้ตายจริง ส่วนสาเหตุเกิดจากนายบุญฤทัยเข้าใจผิดว่าผู้ตายมาขโมยเงิน นอกจากนี้ ข้อมูลของฝ่ายความมั่นคง พบว่า เงินดังกล่าวได้มาจากบ่อน ส่วนผู้หญิงอีกรายที่ร่วมกันก่อเหตุ ทางศาลอาญาได้ออกหมายจับตามภาพวงจรปิดแล้ว โดยทราบชื่อว่า นางอ้อย ไม่ทราบชื่อ - สกุลจริง หลังจากนี้ จะสืบสวนติดตามจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวขณะนี้อยู่ในชั้นอัยการ ซึ่งทางพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น เจ้าของคดี ได้ส่งสำนวนไปยังชั้นอัยการก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนกองปราบปรามก็จะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีล่าสุด รวมถึงการจับกุมตัวนายบุญฤทัย ผู้ต้องหาตัวจริง ส่งไปรวมกับสำนวนดังกล่าว เพื่อใช้ในการหักล้างกับหลักฐานเดิมเพื่อช่วยให้นางบังอรพ้นจากมลทิน ซึ่งในส่วนนี้ก็คงต้องให้ทางอัยการเป็นผู้พิจารณา
ส่วน นางบังอร กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยให้ความเป็นธรรมกับตน ซึ่งในตอนแรกที่เกิดเรื่องขึ้นยอมรับว่าตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากถูกแจ้งข้อกล่าวหาในความผิด ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ซึ่งตนยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวแต่อย่างใด และที่ผ่านมา ตนก็ไม่เคยพักอาศัยอยู่ในย่านประชาชื่น ที่เกิดเหตุ แต่ยอมรับว่า เคยไปแถวนั้นครั้งเดียวเมื่อตอนอายุ 16 ปี ซึ่งก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว ตนจึงได้ต่อสู้เรียกร้องความบริสุทธิ์มาโดยตลอด และยืนยันว่า ไม่ได้ติดใจเอาความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ประชาชื่น และไม่คิดจะเรียกร้องเงินเยียวยาจากใคร
ทางด้าน นายสงกานต์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างของประชาชนที่ได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม หากเราไม่ใช่ผู้กระทำความผิด ก็ต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรม หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน และตรวจสอบแล้วว่านางบังอรไม่น่าจะเป็นผู้กระทำความผิด จึงรวบรวมข้อมูลยื่นต่อ พล.ต.อ.ศรีวราห์ จากนั้นได้มีการนำดีเอ็นเอของนางบังอรไปตรวจเปรียบเทียบกับพยานวัตถุเป็นแก้วน้ำที่อยู่ในจุดเกิดเหตุพบว่าไม่ตรงกับนางบังอร และทาง สน.ประชาชื่น ได้กู้ไฟล์ภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งระยะเวลาผ่านมาแล้ว 3 ปีได้ จึงพบว่ามีชายและผู้หญิงอายุประมาณ 20 ปี ร่วมกันก่อเหตุ ทั้งนี้ นายบุญฤทัย ได้รับสารภาพว่าได้ก่อเหตุจริง
นอกจากนี้ รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทหารนำตัวนายบุญฤทัยมาส่งมอบให้พนักงานสอบสวน นั้น นายบุญฤทัย อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเดินด้วยเท้าทั้ง 2 ข้างเหมือนคนปกติ จึงต้องใช้ไม้ค้ำขาทั้ง 2 ข้าง และเจ้าหน้าที่คอยช่วยพยุงตลอดเวลา