MGR Online - ตำรวจบางยี่ขัน นำตัว “ทนายพิสิษฐ์” พร้อมสาวคนสนิทโกงเงิน “น้องบีม” ยื่นขอฝากขังต่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน เผยผู้ต้องหาเครียดไร้ญาติมาเยี่ยมหรือยื่นขอประกันตัว ตำรวจต้องซื้อข้าวกล่องให้กิน พนักงานสอบสวนเตรียมยื่นค้านปล่อยตัวชั่วคราว
วันนี้ (18 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. พ.ต.ท.วีระศักดิ์ ขจรศรีเพชร รอง ผกก.(สอบสวน) สน.บางยี่ขัน ควบคุมตัวนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ อายุ 59 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดตลิ่งชัน เลขที่ 299/2560 ลงวันที่ 11 ก.ค. ในข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม และผู้สนับสนุนยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน และ น.ส.ฐิตาภา หรือภัทรวดี สวัสดี อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดตลิ่งชัน เลขที่ 300/2560 ลงวันที่ 11 ก.ค. ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงและผู้สนับสนุนยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ออกจากห้องควบคุมผู้ต้องหา สน.บางยี่ขัน ไปส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดตลิ่งชันเป็นผัดแรก
โดยนายพิสิษฐ์สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายสกอตสีฟ้า นุ่งกางเกงขาสั้นสีเหลือง อยู่ในสภาพอิดโรย ส่วน น.ส.ฐิตาภา ชุดแซกลายพรางทหารอยู่อาการเครียดไม่แพ้กัน ทั้งคู่ใช้ผ้าขาวปิดจมูกเดินก้มหน้าก้มตาเข้าประตูศาลเพื่อหลบกล้องของผู้สื่อข่าว จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ร่วมควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายมาในวันนี้ทราบว่า ตั้งแต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายถูกจับยังไม่มีญาติพี่น้องมาเยี่ยมและขอยื่นเรื่องประกันตัวแต่อย่างใด เมื่อเช้าทั้งคู่จึงต้องรับประทานข้าวกล่องที่ทางโรงพักจัดหาให้ โดยระหว่างทางที่นั่งรถกระบะตำรวจมาถึงศาล ทั้งคู่มีอาการเครียดและไม่พูดจากันแต่อย่างใด
ทั้งนี้ นอกจากพนักงานสอบสวนจะแนบเรื่องคัดค้านการให้ประกันตัวแล้ว เชื่อว่าวันนี้ก็น่าจะไม่มีญาติมาทำเรื่องขอประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายในชั้นศาล
สำหรับคำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า ผู้กล่าวหากับพวกได้ตั้งนายพิสิษฐ์ ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความ โดยมอบอำนาจให้เจรจาเรียกร้องเงินค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่พิพากษาให้บริษัท น นน อินเตอร์เฟรท (ประเทศไทย) จำกัด กับพวก ชำระเงินค่าเสียหายแก่ผู้กล่าวหากับพวก จำนวน 4,987,822 บาท กรณีพนักงานบริษัทขับรถชนผู้กล่าวหากับพวกได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ต่อมาวันที่ 19 ก.พ. 2557 ผู้ต้องหาที่ 1 และภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 ได้เจรจาตกลงค่าเสียหายกับบริษัท โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 ต่อมาระหว่างผ่อนชำระผู้ต้องหาที่ 1 ได้แจ้งให้บริษัทสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้แต่ละงวด โดยลงวันที่ไว้ล่วงหน้าระบุชื่อผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้รับเงิน ต่อมาวันที่ 27 เม.ย. 2557 ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เดินทางมาทำบันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความกับบริษัท มีใจความว่าผู้กล่าวหากับพวกได้รับเงินจำนวน 650,000 บาท จากการผ่อนชำระของบริษัทแล้ว คงเหลือยอดหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน 3,350,000 บาท บริษัทขอจ่ายเป็นเช็คให้แก่ผู้เสียหายรวม 31 ฉบับ ผู้เสียหายได้รับเช็คดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันทำสัญญาดังกล่าว บริษัทได้สั่งจ่ายเช็คระบุชื่อผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้รับเงินจำนวน 31 ฉบับ มอบให้ผู้ต้องหาที่ 1 ไปแล้ว ต่อมาทราบว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้นำเช็คดังกล่าวไปขายลดเรียบร้อย
ต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้กล่าวหาว่าอยู่ระหว่างการเจรจาค่าเสียหายกับบริษัท แต่บริษัทขอต่อรองค่าเสียหายเหลือ 800,000 บาท โดยผู้ต้องหาที่ 1 ได้พูดจาหว่านล้อมผู้กล่าวหาว่าสมควรจะรับไว้ดีกว่าไม่ได้เลย และอ้างว่าจะช่วยต่อรองกับบริษัทให้ได้เงิน 1,000,000 บาท ต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 แจ้งว่าสามารถเจรจาตกลงได้แล้ว และนัดผู้กล่าวหาไปพบในวันที่ 2 พ.ค. 2557 เมื่อถึงวันนัดหมายผู้กล่าวหาได้ไปพบผู้ต้องหาที่ 1 เดินทางมาพร้อมกับ น.ส.ฐิตาภา ผู้ต้องหาที่ 2 โดยอ้างว่าผู้ต้องหาที่ 2 เป็นตัวแทนของบริษัท ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองได้นำเอกสารสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นเท็จมาหลอกผู้กล่าวหาให้หลงเชื่อยินยอมทำสัญญาดังกล่าวที่ตกลงชดใช้เงิน 1,000,000 บาท แก่ผู้กล่าวหา ต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้กล่าวหาเป็นเงินทั้งสิ้น 285,000 บาท แล้วผู้กล่าวหาก็ไม่ได้รับการโอนเงินอีกเลย เมื่อติดต่อทวงถามผู้ต้องหาทั้งสองหลายครั้งก็ไม่สามารถติดต่อได้ เมื่อผู้กล่าวหาติดต่อสอบถามบริษัท จึงได้รับคำชี้แจงว่าบริษัทได้ชำระเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 เรียบร้อยแล้ว และผู้ต้องหาที่ 2 ไม่ได้เป็นตัวแทนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใด เมื่อผู้กล่าวหาทราบความจริงว่าถูกผู้ต้องหาทั้งสองและภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 ได้ร่วมกันหลอกลวงผู้กล่าวหากับพวก จึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี
ต่อมาในวันที่ 17 ก.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ในชั้นสอบสวนนายพิสิษฐ์ ผู้ต้องหาที่ 1 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วน น.ส.ฐิตาภา ผู้ต้องหาที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยการกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันฉ้อโกงและยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง และสนับสนุนยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 264 วรรคสอง, 268, 341, 353, 354 ประกอบมาตรา 83
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้