MGR Online - ตำรวจกองปราบปราม ถกร่วม ปปง.คดี “ทอมโชกุน” กับพวกฉ้อโกงประชาชน จำนวน 42 แฟ้ม ครั้งสุดท้ายก่อนชงอัยการฟ้อง พบมีผู้เสียหายกว่า 757 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 51 ล้านบาท
วันนี้ (23 มิ.ย.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กวี สุภานันท์ ที่ปรึกษา สบ 10 พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ รอง ผบช.ก. พร้อมเจ้าหน้าที่ บก.ป. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมประชุมชุดสืบสวนคดี น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน เจ้าของบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด ที่หลอกลวงประชาชนให้ร่วมซื้อสินค้า แล้วได้ผลตอบแทนเกินจริง เพื่อนำสำนวนคดี 42 แฟ้ม มาตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนส่งมอบให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไป
สำหรับคดีดังกล่าวขณะนี้มีผู้เสียหายมาแจ้งความไว้จำนวน 757 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 51 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำพยานทั้งหมด 175 คน สามารถตรวจยึดบัญชีเงินฝาก และการทำธุรกรรมทางการเงิน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ถึงเดือนเมษายน 2560 ซึ่งพบว่ามีเงินเข้าออกกว่า 200 ล้านบาท โดยวันนี้ทางเจ้าหน้าที่จะทำการเสนออัยการสั่งฟ้อง ซินแสโชกุน และพวกรวม 9 คน และบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด โดยมีซินแสโชกุนเป็นผู้อำนาจในฐานะนิติบุคคล ในข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ และซ่องโจร นอกจากนี้ยังแจ้งข้อหาร่วมกันจำหน่ายอาหารที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง และหลีกเลี่ยงอากร เพิ่มเติมกับบริษัทฯ และซินแสโชกุน ส่วนแม่ข่ายบางรายที่ได้รับเงินจากผู้เสียหาย ขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานว่า แม่ข่ายกลุ่มนี้ได้ร่วมกระทำความผิด แต่ทางตำรวจจะขยายผลสอบสวนต่อไป
ขณะที่ พล.ต.อ.กวีกล่าวว่า อยากจะฝากประชาสัมพันธ์หากผู้เสียหายคนใดที่ยังไม่เข้าแจ้งความ ขอให้เข้าแจ้งความที่ตำรวจกองปราบปรามได้ตลอดเวลา
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น. ที่สำนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 ชั้น 6 อาคารสำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามเข้าพบรองอธิบดีอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร เพื่อมอบสำนวนสำนวนคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนที่พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนพยานหลักฐาน 4 ลัง พร้อมความเห็นสมควรฟ้อง บริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด โดย น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ ทอมโชกุน ผู้มีอำนาจในบริษัท, น.ส.พสิษฐ์ กับพวกรวม 9 คนในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ซ่องโจร, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210, 343 พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 3, 4, 12 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) จากกรณีที่หลอกลวงให้ผู้เสียหาย 757 คนนำเงินมาลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อให้ได้สิทธิเดินทางไปต่างประเทศ เช่นหลอกว่าเดินทางไปที่ญี่ปุ่น มูลค่าความเสียหายกว่า 51 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการแล้วยังได้ทำคำร้องฝากขังครั้งที่ 7 น.ส.พสิษฐ์ หรือทอมโชกุน ผู้ต้องหาที่ 2 ต่อศาลอาญา ซึ่งเป็นการฝากขังครั้งสุดท้ายเป็นเวลาอีก 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน ถึง 6 ก.ค. ส่วนผู้ต้องหาที่ 3-10 ที่เป็นแม่และญาติอยู่ระหว่างการฝากขังที่จะครบฝากขังครั้งที่ 6 ในวันที่ 30 มิ.ย. โดยตัวผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุมอยู่ในเรือนจำ
อย่างไรก็ดี มีรายงานอีกว่าในเรื่องการตามทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ถูกฉ้อโกงไปนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังสืบสวนและส่งสำนวนเป็นอีกคดีแยกจากคดีนี้
ร.ท.สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ภายหลังพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ส่งสำนวนคดีให้สำนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากรแล้ว ก็ได้มอบหมายให้นายจิโรจน์ เอี่ยมโอภาส อัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 รับผิดชอบสั่งคดี โดยขณะนี้นายจิโรจน์ ก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้งอัยการในสำนักงานคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 จำนวน 4 คน เป็นคณะทำงานแล้ว ส่วนการพิจารณาสำนวนเพื่อทำความเห็นสั่งคดีก็ต้องรอคณะทำงานสรุปเสนอนายจิโรจน์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 พิจารณาต่อไป โดยอัยการก็มีระยะเวลาพิจารณาในช่วงระยะเวลาการฝากขังครั้งสุดท้ายที่เหลือที่จะครบในวันที่ 6 ก.ค.นี้