MGR Online - ปธ.เครือข่ายประชาชนปฏิรูป นำผู้เสียหายจากคดีทุจริต “สหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น” ยื่นฟ้องอดีต อธ.กรมส่งเสริมสหกรณ์-อดีต ผอ.สำนักส่งเสริมฯ-สหกรณ์ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตาม ม.157 โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการฟื้นฟู คดีนี้ผู้เสียหายกว่า 5 พันคน มูลค่า 1.2 หมื่นล้าน
วันนี้ (14 มิ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) พร้อมด้วยตัวแทนประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เดินทางมายื่นฟ้องคดีอาญาต่อ นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นจำเลยที่ 1, นายบุญเสริม ไกรสินธุ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์พื้นที่ 2 เป็นจำเลยที่ 2 และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นจำเลยที่ 3 ในข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และทุจริตฐานฉ้อโกงประชาชน มาตรา 341, 343 และความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประมาชน มาตรา 4, 5 เนื่องจากร่วมกันสนับสนุนช่วยเหลือสหกรณ์คลองจั่น โดยมีประชาชนผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำนวน 665 คน พร้อมเอกสารประกอบคำฟ้องจำนวน 29,449 แผ่น
ต่อมาศาลได้รับคำฟ้องไว้ในสารบบความเป็นคดีหมายเลขดำที่ อท.325/2560 โดยนายไพบูลย์กล่าวว่า ประชาชนทั้ง 665 คนได้รับความเดือดร้อนและเสียหายถึงวันมีคำฟ้องนี้เป็นจำนวนเงิน 1,926 ล้านบาท และปัจจุบันยังมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนและเสียหายจากสหกรณ์คลองจั่นผู้ถูกฟ้องคดีรวมประมาณ 5,400 คน เป็นมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเสียหายจากเงินฝากออกทรัพย์ประมาณ 7,500 ล้านบาท และเสียหายในส่วนเป็นเงินฝากสะสมหุ้นประมาณ 4,600 ล้านบาท ซึ่งถูกตัดไม่ให้สิทธิรับเงินคืนส่วนนี้ทั้งหมด เพราะการที่กรมส่งเสริมสหกรณ์สนับสนุนให้ใช้กระบวนการฟื้นฟูกิจการสหกรณ์คลองจั่นผู้ถูกฟ้องที่ทุจริตฉ้อโกงประชาชน ได้สร้างปัญหาซ้ำเติมร้ายแรงให้แก่ประชาชนผู้เสียหายซ้ำแล้วซ้ำอีก
นายไพบูลย์กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมาตนได้ส่งหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่าน พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอให้จัดตั้งกองทุนเพื่อติดตามรวบรวมทรัพย์สินจากผู้กระทำผิดฟอกเงินเกี่ยวข้องกับสหกรณ์คลองจั่นคืนให้แก่ประชาชนผู้เสียหายประมาณ 5,400 คน โดยเร็วและโดยตรง ไม่ต้องผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์คลองจั่น และเป็นวิธีที่ไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชน
“วันนี้ขอให้ท่านนายกฯ ตรวจสอบว่ากรมส่งเสริมสหกรณ์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กำลังจะเอาภาษีของประชาชนนับหมื่นล้านบาทไปอุดหนุนให้สหกรณ์คลองจั่นที่ฉ้อโกงประชาชนด้วยวิธีไม่โปร่งใส จะเป็นการดำเนินการที่ถูกกฎหมายและยุติธรรมแก่ประชาชนทั้งประเทศหรือไม่ แต่ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อมั่นในความยุติธรรมและซื่อสัตย์สุจริตรักความถูกต้องของท่านนายกฯ คงไม่ยอมปล่อยให้มีเรื่องใดก็ตามที่หน่วยงานของรัฐไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้สุจริตอย่างแน่นอน” นายไพบูลย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบทรัพย์สินของวัดจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับข้องกับสงฆ์หรือไม่ นายไพบูลย์กล่าวว่า ต้องดูสาเหตุคือระบบบริหารจัดการวัดไม่เปิดเผยโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ต้องทำให้เปิดเผยโปร่งใสตรวจสอบได้ เป็นไปตามพระธรรมวินัย การที่ไม่มีกฎหมายใดๆ ควบคุมไว้ เปิดช่องให้ผู้ทุจริตและมิจฉาชีพหาประโยชน์กับวัดได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งมหาเถรสมาคม (มส.) ไม่ยอมออกกฎหมายในเรื่องนี้เลย ฆราวาสต้องออกกฎหมายเองโดยยึดหลักพระธรรมวินัย ซึ่งเราเคยเสนอผ่าน สปช.ไปยังนายกฯ แล้ว ท่านก็ไม่ได้นิ่งนอนใจส่งต่อไปยัง มส. แต่ มส.ก็เอาไปเก็บไว้ ทำแค่บัญชีรับจ่ายระดับประถม ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้และไม่ยอมเปิดเผย ดำเนินการเป็นเพียงผักชีโรยหน้าเท่านั้น ไม่มีผลในการสร้างความโปร่งใสตรวจสอบได้ ทำให้วัดกลายเป็นแหล่งหากินของมิจฉาชีพ
เมื่อถามถึงกรณีที่มีกลุ่มอดีต ส.ส.50 คน ประกาศหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ต่อ นายไพบูลย์กล่าวว่า การที่ฝ่ายการเมืองเห็น พล.อ.ประยุทธ์ เหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ เป็นสิ่งที่ดี ถ้าเห็นโดยสุจริต ไม่มีความหวังประสงค์ในทางที่ทุจริตแบบนักการเมืองเก่า ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี แต่ตนในฐานะผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2559 แล้ว จนถึงวันนี้ก็เป็นเหมือนเดิม
เมื่อถามต่อไปว่าจะมีโอกาสไปร่วมกับกลุ่มอดีต 50 ส.ส.ด้วยหรือไม่ นายไพบูลย์กล่าวว่า “คงไม่มีทาง เพราะบุคคลตามข่าว 50 ส.ส.นั้น ในฐานะที่พวกผมจะจัดตั้งพรรคของประชาชน เรามองว่าเป็นพวกนักการเมืองในระบบเก่า ซึ่งในฐานะที่เราจะสร้างการเมืองระบบใหม่ที่เป็นการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง เราคงไม่สังฆกรรมด้วย”