MGR Online - “อธิบดีศาลอาญา” มั่นใจตำรวจจับคนร้ายขึ้นศาลลักทรัพย์เจ้าหน้าที่ได้ พร้อมตั้งกรรมการ 2 ชุดประสานตำรวจ-ตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยและติดตั้งกล้องวงจรปิดชุดใหม่
เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (4 ม.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 10 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสุภัทร์ สุทธิมนัส อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา, นายวิทยา บุญชัยวัฒนา รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และนายมนตรี รัตนทวีโสภณ เลขานุการศาลอาญา ร่วมกันแถลงข่าวถึงความคืบหน้ากรณีคนร้ายเข้าลักทรัพย์ในอาคารศาลอาญาเมื่อช่วงวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา
โดยนายสุภัทร์กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุแล้ว ตนได้รับรายงานเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ซึ่งได้มีการไปแจ้งความที่ สน.พหลโยธิน และกันสถานที่เกิดเหตุไม่ให้หลักฐานเคลื่อนย้าย ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้เข้ามาตรวจสอบจุดต่างๆ พร้อมทั้งเก็บลายนิ้วมือแฝง โดยเหตุเกิดในช่วงวันหยุดปีใหม่ 4 วัน ขณะนี้ทราบเวลาแล้วว่าคนร้ายเข้ามากี่โมง และช่วงเวลาใดอยู่จุดไหน แต่ทั้งนี้ยังบอกรายละเอียดไม่ได้ โดยบ่ายวันนี้ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับคณะนายตำรวจอีกหลายนาย และ พ.ต.อ.ณรัช มูลศาสตรสาทร ผกก.สน.พหลโยธิน ได้มาพบตนและตรวจดูสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง รวมทั้งได้มีการประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน รายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ให้ความสนใจและรับปากว่าจะตามจับกุมคนร้ายมาให้ได้ ส่วนตัวก็เชื่อว่าตำรวจของเรามีศักยภาพ ทั้งหมดก็อยู่ที่พยานหลักฐาน
นายสุภัทร์กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ตนจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด โดยมีตนเป็นที่ปรึกษา ชุดหนึ่งเป็นคณะกรรมการที่จะประสานงานสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในด้านการให้ข้อมูลเกี่ยวกับคีย์การ์ดที่คนร้ายใช้เข้าออก หรือข้อมูลอื่นๆ รวมทั้งการให้คำแนะนำเรื่องการออกหมายค้นหมายจับคนร้ายหากมีความจำเป็น โดยคณะกรรมการชุดนี้จะมีนายเจริญวิทย์ เกื้อทิพย์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เป็นประธานคณะทำงาน มีผู้พิพากษา และ ผกก.สนพหลโนธิน เป็นคณะทำงาน ดูแลเรื่องมาตรการความปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้สะดวกและให้ได้ตัวคนร้ายโดยเร็ว
ส่วนคณะกรรมการอีกชุดจะตรวจสอบเรื่องความหละหลวมของระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดที่ผ่านมา โดยมีนายวิทยา บุญชัยวัฒนา รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อดูแลว่ามีจุดใดที่หละหลวมต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร เพื่อเป็นการป้องกันต่อไปในอนาคต สำหรับคีย์การ์ดที่คนร้ายใช้เข้าออกก็ต้องไปตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดทำคีย์การ์ดหายหรือไม่จะได้ยกเลิก โดยเรื่องกล้องวงจรปิดที่อยู่บริเวณศาลอาญานั้นเสียจริง รวมทั้งกล้องวงจรปิดในลิฟต์ที่คนร้ายใช้ในการขึ้นลงห้องเวรชี้และห้องของ รปภ. ซึ่งกล้องทั้งหมดมีอายุการใช้งานมานานประมาณ 15 ปีแล้ว เริ่มหมดอายุตามเวลาการใช้งาน จัดซ่อมก็ไม่คุ้ม โดยหลังเกิดเหตุตนก็ได้รายงานให้นายอธิคม อินทุภูติ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมทราบเรื่องในการจัดงบประมาณจัดซื้อกล้องวงจรปิดชุดใหม่เต็มระบบทั้งภายในอาคาร ภายนอกอาคารและลานจอดรถ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อกล้องวงจรปิดชุดใหม่จึงเป็นช่องโหว่ที่ให้เกิดเหตุ หากมีกล้องวงจรปิดก็จะมีส่วนช่วยได้มากในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ ตนก็เตรียมที่จะรายงานนายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา ให้ทราบข้อเท็จจริง รวมทั้งการดำเนินงานของศาลอาญาในการแก้ไขปัญหา หากการสอบสวนชัดเจนว่าคนร้ายเป็นคนในก็จะต้องตั้งกรรมการสอบทางวินัยรวมทั้งการถูกดำเนินคดีอาญา แต่ขณะนี้ยังไม่ยืนยันว่าคนร้ายเป็นคนในหรือคนนอก อย่างไรก็ดี เหตุที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่เกี่ยวกับเรื่องสำนวนคดี เพราะคนร้ายงัดลิ้นชักเอาไปแต่ทรัพย์สิน
“ในการติดตามคนร้าย ตำรวจก็มีวิธีการของเขา ส่วนกล้องวงจรปิดที่อยู่ภายนอกศาลก็ยังมีของเอกชนก็น่าจะหาภาพจากตรงนั้นได้ ผมเองเชื่อว่าความสามารถของตำรวจมีขีดความสามารถของเขาที่จะทำได้ จากนี้ก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานก่อน ศาลจะไม่เข้าไปสันนิษฐานอะไรให้ แต่ศาลจะให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการสอบสวน เช่น เรื่องคีย์การ์ดเข้าออกว่าใครเป็นคนรับผิดชอบถืออยู่ ส่วนการตั้งประเด็นวิเคราะห์ความเป็นไปได้ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถ้าประเด็นใดมีความเป็นไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงจะดำเนินการเจาะลึกและรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีต่อไป” นายสุภัทร์กล่าว
เมื่อถามว่าจากเหตุที่เกิดขึ้นจะทำให้สังคมเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะขนาดศาลยังเกิดเหตุได้ นายสุภัทร์กล่าวว่า ปกติศาลจัดกำลังเจ้าหน้าที่ รปภ.รักษาการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง แต่หากคนกังวลกันว่าขนาดศาลยังเกิดเรื่องก็ต้องดูว่าเรื่องนี้ทั้งหมดมาจากอะไร เกิดจากคนในหรือคนนอก หากเป็นคนนอกก็น่ากลัว เพราะแสดงว่าการรักษาความปลอดภัยมีปัญหา แต่ถ้าเป็นคนในก็จะต้องเข้มงวด เรื่องนี้อุปมาอุปไมยเหมือนคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์บ้านใครคนหนึ่ง