MGR Online - ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พาผู้เสียหาย 9 ราย แจ้งจับคลินิกเสริมความงานเถื่อนย่านบางยี่เรือ เผยหนึ่งในลูกค้าเคยดูดไขมันจนหน้ามืดแต่หมอกลับไม่ส่ง รพ.หวั่นลูกค้าตกใจ อีกรายวางมัดจำค่าศัลยกรรม 1 แสนบาท กลับเชิดหนี เคยถูกดีเอสไอบุกจับเมื่อปี 56 ไม่เข็ดเปลี่ยนชื่อแล้ว 7 ครั้ง ซ้ำสาวไม่ถึงตัวเจ้าของกิจการ
วันนี้ (1 ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมผู้เสียหายจำนวน 9 รายที่ไปศัลยกรรมคลีนิคเถื่อน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ปพณพัชร์ ตังจิตจารุพัชร์ ผกก.สน.บางยี่เรือ เพื่อยื่นเรื่องดำเนินคดีอาญาต่อคลินิกและหมอเถื่อนดังกล่าว
นายอัจฉริยะกล่าวว่า วันนี้พาน้องๆ ทั้งหมดที่ถูกบุคคลในคลินิกเถื่อนหลอกลวงฉ้อโกง โดยการแอบอ้างว่าเป็นหมอและให้มาศัลยกรรมที่คลินิก เมื่อศัลยกรรมแล้วปรากฏว่ามีผลข้างเคียง บางรายมีบาดแผลที่ไม่ได้เกิดจากการศัลยกรรม เมื่อไปติอต่อที่คลินิกเพื่อทวงเงินคืนกลับได้รับการปฏิเสธ และขู่ว่าถ้าแจ้งความจะถูกทางคลินิกดำเนินคดีทางกฎหมายเช่นกัน ก่อนหน้านี้ได้มีผู้เสียหายบางรายเดินทางมาแจ้งความที่ สน.บางยี่เรือ กรณีคลินิกดังกล่าวแล้วแต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่รับแจ้งความ แค่ลงบันทึกประจำวันไว้เท่านั้น ในวันนี้จึงมาแจ้งความอีกครั้งให้เป็นคดีอาญา ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) เรื่องนี้จะมีอยู่ 2 กรณีที่จะต้องดำเนินการ คือ หลอกให้โอนเงินโดยไม่ทำการรักษา และทำศัลยกรรมแล้วมีบาดแผล มีผู้เสียหายบางรายที่ไปดูดไขมันแล้วเกิดอาการช็อกหมดสติ แต่หมอที่ดูแลกลับสั่งห้ามไปโรงพยาบาลเพราะเกรงว่าคนไข้รายอื่นเห็นจะตกใจ ระหว่างนั้นมีผู้เสียหายที่มาใช้บริการที่คลินิกดังกล่าวเข้ามาช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล
นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า คลินิกดังกล่าวเคยถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าจับกุมเมื่อปี 2556 ล่าสุดถูกกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เข้าจับกุม แต่ก็ไม่มีการดำเนินคดีถึงตัวการใหญ่ ดำเนินการเพียงแค่เสมียนในร้านเท่านั้น ซึ่งขบวนการเหล่านี้จะต้องมีเส้นสาย และมีทนายความที่มีชื่อเสียงพอสมควรที่สามารเคลียร์คดีต่างๆ ได้หมดโดยไม่ถูกจับกุม จนปัจจุบันนี้คลินิกดังกล่าวเปลี่ยนชื่อมาแล้ว 7 ครั้ง และในคลินิกดังกล่าวมีหมอจริงเพียงคนเดียวนอกนั้นแอบอ้าง โดยปลอมใบประกอบวิชาชีพของแพทย์ทั้งหมด และเอาแพทย์ที่มีชื่อเสียงด้านศัลยกรรมไปเขียนแอบอ้างรีวิวในโฆษณา ดังนั้นในวันนี้ก็นำใบบันทึกประจำวันมามอบให้ผู้กำกับ และถามว่าทำไมถึงไม่รับแจ้งความเป็นคดีอาญาตั้งแต่แรก
ด้าน น.ส.นิว (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ตอนแรกก็ไม้รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคลินิกนี้ แต่เห็นว่ามีการรีวิวและโฆษณาในเฟซบุ๊ก รวมทั้งมีแพทย์ที่น่าเชื่อถือหลายคนจึงติดต่อเข้าไปใช้บริการดูดไขมันบริเวณหน้าท้อง แต่เมื่อดูดไขมันออกไป พบว่าหน้าท้องไม่เรียบ แต่เมื่อเดินทางไปที่คลินิก หมอก็รับปากว่าจะทำให้ใหม่ แต่ตนรู้สึกว่าถ้าแก้ไปก็คงไม่ดีขึ้นเพราะอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ตรงตามที่โฆษณาหรือในรีวิวเลย
ด้าน น.ส.เฟย (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนรู้จักกับคลินิกเสริมความงามนี้จากโซเชียลมีเดีย และได้ตกลงคุยกับหมอท่านหนึ่งซึ่งแสดงใบแพทย์และเอกสารประกอบวิชาชีพครบถ้วน พร้อมบรรยายรายละเอียดต่างๆ ว่าตนจะต้องทำอะไรบ้าง โดยให้ตนรีวิวและวางเงินมัดจำล่วงหน้าก่อน 100,000 บาท หลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อคลินิกหรือหมอที่คุยกับตนได้เลย ขณะนี้ทราบว่าคลินิกดังกล่าวได้ปิดตัวลงแล้ว แต่จะมีเปิดให้บริการช่วงดึกๆ
ด้าน น.ส.เอม (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหายอีกราย กล่าวว่า ได้ไปใช้บริการดูดไขมันที่ขา เมื่อดูดเสร็จไปหนึ่งข้างรู้สึกชา หน้ามืด ชักกระตุก แต่หมอสั่งว่าห้ามไปส่งโรงพยายาบาลเนื่องจากคนไข้ที่รอรับบริการเห็นแล้วจะตกใจ ก่อนที่ผู้ช่วยพยาบาลจะนำไปส่งโรงพยาบาล เมื่อติดต่อไปยังคลินิกดังกล่าวก็ได้คำตอบว่าไม่รับผิดชอบใดๆ และบอกว่าเป็นความผิดของตนเอง หลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้ ทุกวันนี้ก็ต้องไปตรวจเช็กเลือดทุกๆ 3 เดือน เพราะไม่ทราบว่าติดเชื้อในกระแสเลือดหรือไม่
ด้าน พ.ต.อ.ปพณพัชร์กล่าวว่า เบื้องต้นได้พูดคุยกับผู้เสียหายบ้างแล้ว โดยในวันที่มาแจ้งความนั้นจะขอลงบันทึกประจำวันเพื่อไปขอเป็นหลักฐานเท่านั้น ส่วนผู้เสียหายรายอื่นๆ ตนยังไม่ได้พบ จึงเป็นที่มาของการไม่ได้รับเรื่องแจ้งความ แต่ในวันนี้จะรับเรื่องแจ้งความเป็นคดีอาญาไว้ทั้งหมด และจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยจะมีการบันทึกปากคำของผู้เสียหายทุกรายเนื่องจากมีจำนวนผู้เสียหายหลายราย จึงอยากจะขอมอบให้ทนายอัจฉริยะเป็นผู้กล่าวหา ส่วนผู้เสียหายเป็นพยานผู้เกี่ยวข้องแทนจะได้ง่ายต่อการติดต่อ ซึ่งจะทำหนังสือรับมอบอำนาจให้ผู้เสียหายทุกรายเซ็นชื่อยินยอม หลังจาดนี้จะทำการสอบปากคำผู้เสียหายทุกราย เพื่อรวบรวมสำนวนส่งศาลออกหมายค้น คาดว่าจะใช้เวลาในการตรวจสอบไม่เกิน 7 วัน จึงจะออกหมายจับได้
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการขอศาลเพื่อออกหมายค้นคลินิกวีเมค เลขที่ 367 หมู่ 7 ถนนราชพฤกษ์ แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กทม.
ต่อมาเวลา16.30น. พ.ต.อ.ปพณพัชร์ ตังจิตจารุพัชร์ ผกก.สน.บางยี่เรือ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางยี่เรือ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อย กองพันทหารปืนใหญ่ที่19 (ร้อย.รส.ป.พัน.19) กว่า 20 นาย เข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์ เลขที่376 หมู่7 ถนนราชพฤกษ์ แขวงบางยี่เรือ กทม. คลีนิคเวชกรรมวี เม็ด หรือคลีนิคเถื่อนที่มีผู้เสียหายหลายรายเข้าแจ้งความที่สน.บางยี่เรือเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
โดยอาคารดังกล่าวเป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น 1 คูหา เลขที่376 หมู่7 ถนนราชพฤกษ์ แขวงบางยี่เรือ กทม. เมื่อเข้าไปภายในอาคาร บริเวณชั้น1 พบห้องว่างเปล่า 2 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง แต่ละห้องถูกปิดทึบ และมีทางเดินแคบๆ เพื่อขึ้นไปยังชั้น2 ก็พบห้องว่างอีก 2 ห้อง และทางเดินขึ้นไปยังชั้น3 พบห้องว่างขนาดใหญ่และห้องน้ำ 1 ห้อง จากการตรวจสอบไม่พบวัสดุ อุปกรณ์ที่บ่งบอกว่าอาคารดังกล่าวเคยเปิดเป็นคลีนิกมาก่อน
ด้านนางวิไล ปิณฑะดิษ อายุ 68 ปี เจ้าของอาคาร กล่าวว่า เมื่อประมาณต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีหญิงสาวมาติดต่อขอเช่าอาคารเดือนละ 15,000 บาท แต่พอทำสัญญากลับเป็นผู้ชาย โดยอ้างตัวว่าเป็นหมอมาเซ็นสัญญาเช่า ครั้งแรกตกลงกันว่า 3 ปี และจ่ายล่วงหน้า 5 เดือนให้ด้วย แรกๆก็เอาเงินค่าเช่ามาจ่ายให้ที่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องว่ามีผู้เสียหายไปแจ้งความที่สน.บางยี่เรือ คลีนิกดังกล่าวก็ปิดตัวเงียบไป ทางผู้เช่าก็ไม่ได้ติดต่อมาหา จนมาทราบภายหลังว่าขนของออกไปแล้ว