MGR Online - ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สอบคำให้การ “เสี่ยเจนภพ” ขับเบนซ์ชน 2 นศ.ป.โท ดับ จำเลยสารภาพเพียงข้อหาเดียว “ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” จาก 6 ข้อหา ด้าน พ่อ - แม่เหยื่อขอเป็นโจทก์ร่วมเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้าน
วันนี้ (28 พ.ย.) ที่ ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเวลา 13.00 น. นางกมลรัตน์ ฮ้อแสงชัย อายุ 59 ปี มารดาของ น.ส.ธันฐภัทร์ หรือ เบนซ์ ฮ้อแสงชัย อายุ 34 ปี อดีตนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมด้วยบุตรสาว 2 คน และ นายวิเชียร ชุบไธสง ทนายความ เดินทางเข้ารับฟังการประชุมคดี และสอบปากคำให้การจำเลยในคดีที่ นายเจนภพ วีรพร ขับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ พุ่งชนรถยนต์ ซึ่ง น.ส.ธันฐภัทร์ นั่งมากับ นายกฤษณะ ถาวร หรือ โต้ง เพื่อนนักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยเดียวกัน จนเป็นเหตุให้ทั้งสองเสียชีวิต เหตุเกิดบนถนนพหลโยธิน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา
นายวิเชียร กล่าวว่า ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้นัดประชุมคดีและตรวจเอกสารต่างๆ พร้อมกับสืบพยานฝ่ายโจทก์ ซึ่งศาลจะถามคำให้การจำเลยว่าจะให้การรับสารภาพ หรือให้การปฏิเสธ 6 ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย 1. ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 2. ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 3. เป็นผู้ขับรถเสพยาเสพติดให้โทษเป็นเหตุให้แก่ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 4. ขับรถขณะหย่อนความสามารถในการขับ 5. ขับรถไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น และ 6. เป็นผู้ขับรถฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานสอบสวนที่สั่งให้มีการทดสอบและตรวจสอบผู้ขับรถตามกฎหมายโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันควร
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ทางจำเลยได้ยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งจำเลยรับสารภาพในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เพียงข้อหาเดียวเท่านั้น
นายวิเชียร กล่าวต่อว่า ในวันเดียวกันนี้ นางกมลรัตน์ มารดาของนางสาวเบนซ์ ได้ยื่นขอเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ด้วย หลังจากก่อนหน้านี้ทางบิดาของนางสาวเบนซ์ ได้ยื่นขอเป็นโจทก์ร่วมไปแล้ว แต่ได้บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ลูกสาว และขณะนี้ก็ยังคงครองเพศบรรชิตอยู่
นอกจากนี้ ทางครอบครัวฮ้อแสงชัย ได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมาย เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีการติดต่อจากฝ่ายจำเลยที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนใดๆ
นายวิเชียร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้จำเลยไม่ได้มาศาลตามนัดอ้างว่ายังต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น กรณีดังกล่าวทางอัยการได้เคยนัดสมานฉันท์แล้วทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย ซึ่งครั้งนั้นทางจำเลย ก็มาตามนัด แต่หลังจากศาลได้นัดฟังคำให้การ ทางจำเลยกลับยื่นคำร้องขอให้จำหน่ายคดีชั่วคราวโดยอ้างว่าวิกลจริต ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ โดยนัดที่ผ่านมา ศาลได้นัดไต่สวนแพทย์เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยวิกลจริตไม่สามารถต่อสู้คดีในชั้นศาลได้จริงหรือไม่ แต่สุดท้ายจำเลยก็มายื่นคำร้องว่าไม่ติดใจโดยสามารถจะต่อสู้คดีได้จึงเป็นที่มาของการนัดประชุมคดีในวันเดียวกันนี้
“เรื่องการนัดสมานฉันท์ และมีข่าวเผยเแพร่ออกไปว่า นายเจนภพ ได้ก้มกราบขอขมา นางกมลรัตน์ นั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจาก นางกมลรัตน์ ไม่เคยมาศาลเลย เพราะตั้งแต่เกิดเหตุก็ยังทำใจไม่ได้ จึงไม่ทราบว่ามีภาพดังกล่าวออกไปได้อย่างไร” นายวิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนที่โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ประกอบด้วย ค่าปลงศพจำนวน 1,665,720 บาท ค่าเสียหายที่มีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำงานเป็นคุณแก่บุคคลภายนอก จำนวน 82 ล้านบาท ค่าอุปการะเลี้ยงดู จำนวน 16,969,783 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 100,635,503 บาท
ต่อมาเวลา 17.00 น. นายวิเชียร ชุบไธสง ทนายความ เปิดเผยว่า ศาลได้สอบถามคำให้การของจำเลย ปรากฏว่า จำเลยยังคงรับสารภาพเพียงข้อกล่าวหาเดียว และปฏิเสธข้อกล่าวหาอื่นๆ วันที่ 2 ธันวาคม ศาลจะนัดประชุมคดีเพื่อกำหนดวันนัดสืบพยานอีกครั้ง ส่วนค่าสินไหมทดแทนที่เรียกไป 100,635,503 บาทนั้น ได้พบประเด็นเพิ่มเติม ทางครอบครัวของ นางสาวธันฐภัทร์ จึงขอกลับไปพิจารณากันอีกครั้ง
ด้าน นางกมลรัตน์ กล่าวว่า ส่วนตัวเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ดี เพราะไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองเป็นคนผิด แต่ทางด้านคดีความอยากให้คดีของนางสาวธันฐภัทร์ เป็นตัวอย่าง และสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สังคมไทย เพราะจะเป็นประโยชน์มหาศาลกับหลายครอบครัวที่ใช้รถใช้ถนนในทุกวันนี้ ซึ่งยังคิดว่าศาลมีความยุติธรรมอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเจนภพ จำเลยในคดีได้เดินทางมาร่วมฟังการประชุมคดี และให้ปากคำด้วย แต่ได้ปฏิเสธให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน