xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ “มาร์ค-อภิสิทธิ์” ชนะคดีถูกปลดพ้นทหารกองหนุน!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


 
MGR Online - ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ “มาร์ค-อภิสิทธิ์” ชนะคดีฟ้อง “สุกำพล” ปลดออกจากทหารกองหนุนพ่วงเรียกคืนเบี้ยหวัด แต่คดียังไม่จบ มีสิทธิ์ฎีกาได้  

 
วันนี้(17 พ.ย.)นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย  ทนายความ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม เรื่องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของกระทรวงกลาโหม ที่ให้ปลด นายอภิสิทธิ์ ออกจากราชการ โดยศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับเป็นให้เพิกถอนคำสั่งของกระทรวงกลาโหม ปลด นายอภิสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม คดียังไม่ถึงที่สุด ซึ่ง พล.อ.อ.สุกำพล ยังสามารถยื่นฎีกาได้อีก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังกล่าวศาลแพ่ง ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ว่า คำสั่งของกระทรวงกลาโหมนั้นชอบแล้วไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลย เนื่องจากสาเหตุที่จำเลย ปลดโจทก์ออกจากราชการ เพราะโจทก์ขาดการตรวจเลือกทหารแล้วนำใบสำคัญ (ใบ ส.ด.9) แทนฉบับที่ชำรุดสูญหายอันเป็นเท็จ มาแสดงต่อสัสดีจังหวัดนครนายก ทำให้สัสดีจังหวัดนครนายก ไม่ทราบความจริงว่าโจทก์ครบเวลาที่จะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร จึงไม่ได้ระบุสถานะว่า เป็นผู้ขาดการเกณฑ์ทหาร เป็นเหตุให้สัสดีจังหวัดนครนายก ออกใบสำคัญ ส.ด.3 (ใบขึ้นทะเบียนกองประจำการ) ให้แก่โจทก์ และโจทก์ไม่มีใบ ส.ด.41 ซึ่งเป็นเอกสารแสดงว่า ได้รับการผ่อนผันกรณีศึกษาที่ต่างประเทศ ว่า ไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร โจทก์จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ และไม่มีคุณสมบัติที่จะบรรจุเข้ารับราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรได้ การสมัครและบรรจุโจทก์เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร กับการแต่งตั้งโจทก์เป็นนายทหารสัญญาบัตร ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหมเป็นการไม่ชอบ คำสั่งของจำเลยที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ซึ่งต่อมา นายอภิสิทธิ์ โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 มาตรา 4 บัญญัตินิยามคำ “ข้าราชการทหาร” หมายถึงทหารประจำการ และข้าราชการกลาโหมพลเรือน ที่บรรจุในตำแหน่งอัตราทหาร โดยมาตรา 15 บัญญัติว่า วินัยของข้าราชการทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร ข้อบังคับ และระเบียบแบบแผนที่กระทรวงกลาโหมกำหนด โดย พ.ร.บ. รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ยังบัญญัติว่า ทหารกองเกินและทหารกองหนุนที่ถูกเรียกเข้ารับราชการ และทหารประจำการต้องอยู่ในวินัยทหาร เหมือนทหารกองประจำการ จึงทำให้เห็นว่าทหารประจำการ และทหารกองประจำการเท่านั้นที่ต้องอยู่ในวินัยทหาร และในส่วนของข้อบังคับทหารว่าด้วยการแบ่งประเภทนายทหารสัญญาบัตร โดยมาตรา 11 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า นายทหารสัญญาบัตรประจำการ ต้องขึ้นทะเบียนกองประจำการ และรับราชการในกองจนครบกำหนดตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่กระทรวงกลาโหมจะสั่งปลดเป็นนายทหารประเภทอื่น หากถูกถอดหรือออกจากยศสัญญาบัตร ก็ให้ปลดพ้นราชการทหารประเภทที่ 2 ขณะที่วรรคสองบัญญัติว่า การแบ่งประเภทนายทหารสัญญาบัตรนั้น แล้วแต่กระทรวงกลาโหมจะกำหนด จึงทำให้เห็นว่า นายทหารสัญญาบัตรประจำการ เป็นผู้รับราชการทหารตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และอาจถูกสั่งปลดได้เท่านั้น ขณะที่ พ.ร.บ. ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 มาตรา 7 บัญญัติว่า ทหารผู้ใดกระทำผิดต่อวินัยทหารจะต้องรับทัณฑ์ตามวิธีในพระราชบัญญัติ และอาจถูกปลดจากประจำการ หรือถูกถอดยศทหาร โดยมาตรา 10 บัญญัติถึงผู้มีอำนาจที่ลงทัณฑ์ และเทียบชั้นผู้รับทัณฑ์รวม 12 ขั้น ตั้งแต่ รมว.กลาโหม แม่ทัพ ผู้บัญชาการกองพล ผู้บังคับการกองเรือ ผู้บัญชาการกองพลบิน ผู้บังคับกองพัน จนถึงนักเรียนทหาร ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้เป็นนายทหารประทวน รูปแถว ซึ่งทำให้เห็นว่า ทหารที่จะถูกลงโทษทางวินัย ต้องเป็นทหารประจำการ หรือทหารกองประจำการที่รับราชการอยู่

แต่คดีนี้ ขณะที่จำเลยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนการรับราชการทหารของโจทก์ และมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ โจทก์จึงเป็นนายทหารนอกราชการ ซึ่งเป็นกระบวนการลงโทษทางวินัยทหารหลังจากโจทก์พ้นจากราชการแล้วถึง 23 ปีเศษ แม้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้ แต่การพิจารณาและลงโทษข้าราชการทางวินัย ย่อมต้องพิจารณาและลงโทษในขณะที่บุคคลนั้นรับราชการอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการต่อไป ซึ่งหากบุคคลนั้นพ้นจากราชการแล้ว ย่อมไม่อาจก่อความเสียหายได้อีก การพิจารณาวินัยทหารและลงโทษทางวินัยทหารกับโจทก์ย้อนหลังให้มีผลขณะที่โจทก์รับราชการอยู่โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ และไม่อาจกระทำได้ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตอบข้อหารือของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเรื่องดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการทหารที่พ้นราชการด้วยเหตุเกษียณอายุราชการ และมีสิทธิรับบำนาญ ว่า การปลดข้าราชการทหารออกจากประจำการต้องเป็นข้าราชการทหารที่ประจำการอยู่ หากพ้นราชการแล้วก็ไม่อาจพ้นออกจากประจำการได้โดยสภาพ

ที่จำเลยอ้างว่า เคยมีการลงโทษทางวินัยข้าราชการทหารหลังจากพ้นราชการไปแล้วตามประกาศกระทรวงกลาโหม และคำสั่งกระทรวงกลาโหมนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และสั่งพักราชการก่อนพ้นจากราชการ กับเป็นกรณีหนีราชการ รมว.กลาโหม จึงมีคำสั่งลงโทษปลดจากราชการย้อนหลังไปจนถึงวันที่รับราชการวันสุดท้าย ซึ่งคำสั่งเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับและกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติแล้ว แตกต่างจากคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ทั้งที่โจทก์ไม่ได้รับราชการแล้ว โดยให้มีผลในวันที่ 2 มิถุนายน 2531 ซึ่งเป็นวันที่อ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยทหาร กรณีจึงไม่ได้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับและกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติ จึงไม่อาจตีความปิดช่องว่างทางกฎหมายให้เป็นผลร้ายกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาและถูกลงโทษทางวินัยตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าได้

ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีอำนาจสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 มาตรา 7 อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น จึงพิพากษากลับเป็นว่าให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1163/2555 เรื่อง ให้ปลดนายทหารสัญญาบัตรออกจากราชการ ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2555
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น