MGR Online - “หมอแอร์” ออกตัว “มีปัญหาในองค์กร” ฉะกลับหมอจิตเวชลาออกแล้ว 3 กำลังจะไปอีก 1 ส่วนอนาคตของตัวขณะนี้ยังเป็นตำรวจ เผย หากพบผิดโทษหนักสุด คือ “ไล่ออก” เตือนข้าราชการตำรวจอ้างไม่พอกินแล้ว “รับจ๊อบ” หากเบียดบังเวลาหลวง อาจเจอผิดให้ดูเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษา
กลายเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ เมื่อ “หมอแอร์” พ.ต.ท.แพทย์หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล แพทย์ประจำกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลตำรวจ ถูกผู้บังคับบัญชาสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนฐานเอาเวลาราชการไปทำงานส่วนตัว ซึ่งขณะนี้แม้ผลการสอบสวนจะยังไม่ชี้ผิดหรือถูก แต่ดูเหมือนว่า คุณหมอคนสวยจะเสียเหลี่ยมมุม และภาพลักษณ์ที่ดีไปพอสมควร เนื่องจากสังคมทราบกันดีว่านอกจากการรับราชการตำรวจ และเคยเป็นกระบอกเสียงให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ยังมีงานพิธีกรต่างๆ อีกมากมาย รวมไปถึงกิจการ “เดอะแอร์คลินิก” สถานเสริมความงามระดับไฮคลาส ตั้งอยู่อาคารคิวเฮ้าส์ ย่านเพลินจิต อีกทั้งก่อนหน้ายังเป็นข่าวดัง “รักสามแซบ” รองอั๋น-ไฮโซตั๋ม-หมอแอร์” จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมสังคมไทยจึงให้ความสนใจข่าวคราวของคุณหมอคนดังเป็นพิเศษ
ล่าสุด เฟซบุ๊ก “หมอแอร์” ได้โพสต์ข้อความยืนยันว่า ไม่เคยใช้เวลาราชการไปทำงานส่วนตัว และในตอนนี้ยังรับราชการอย่างเดียวไม่ได้ทำงานหน่วยงานเอกชนที่ไหน เวลาไปต่างประเทศจะใช้วันหยุดทุกครั้ง แต่ยอมรับว่า ขณะนี้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในองค์กร หลังจากเปลี่ยนผู้บริหารแพทย์ในกลุ่มงานลาออกไปแล้ว 3 คน และกำลังยื่นใบลาอีก 1 คน ซึ่งไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มงานจิตเวช
สำหรับปมปัญหาของ “หมอแอร์” ที่ถูกมรสุมโดนตั้งคณะกรรมการครั้งนี้ นอกจากเป็นเรื่อง “ภายใน” ขององค์กร นั่นก็คือ โรงพยาบาลตำรวจ ตามที่คุณหมอคนดังได้ระบุไว้ในเฟซบุ๊ก แต่อีกประเด็นหนึ่งที่สังคมมองไปในทางเดียวกัน ก็คือ ความขัดแย้งระหว่างหมอแอร์ กับไฮโซตั๋ม หรือ น.ส.วิชชุดา ลีนุพงษ์ ซึ่งเคยฟาดฟันกันในเรื่อง พ.ต.ท.อรรถพล อิทธโยภาสกุล หรือ “รองอั๋น” นายตำรวจหนุ่มรูปหล่อซึ่งครั้งหนึ่ง ทั้งหมอแอร์ และรองอั๋น เคยทำงานร่วมกันในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจากความใก้ลชิดสนิทสนมอย่างออกนอกหน้า ทำให้ไฮโซตั๋ม เกิดความหึงหวง กระทั่งมีการโพสต์ข้อความกล่าวหา พ.ต.ท.แพทย์หญิง อัญชุลี ในเชิงชู้สาว ก่อนลุกลามด้วยการบุกราวีถึงคลินิกเป็นข่าว “คาว” ตามที่ทราบกัน
ศึกรักสามแซบจบลงที่เป็นคดีความโดยฝ่ายหมอแอร์ แจ้งความดำเนินคดีกับไฮโซตั๋ม ฐานทำผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ กระทั่งวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา ศาลนัดฟังคำพิพากษาสรุปว่า น.ส.วิชชุดา มีความผิดรวม 6 กระทง จำคุก 12 ปี ปรับ 6 แสนบาท แต่รับสารภาพเหลือโทษ 6 ปี ปรับ 3 แสนบาท แต่ผู้ต้องหาไม่เคยกระทำผิด และสำนึก จึงรอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี อย่างไรก็ตาม แม้คดีอาญาจะปิดฉาก - รูดม่านไปแล้ว แต่หมอแอร์ ยังมีคดีทางแพ่งฟ้องเรียกค่าเสียหายจากไฮโซตั๋ม อีก 50 ล้านบาท ซึ่งคดีดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนดำเนินการที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และหลังจากนั้น เพียง 1 สัปดาห์ เมื่อปรากฏข่าว “หมอแอร์ - งานเข้า” กระแสสังคมจึงมองย้อนกลับไปยังความขัดแย้งเดิมๆ ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้
สำหรับขั้นตอนดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงนั้น คณะกรรมการที่แต่งตั้งมาจะต้องสืบค้นหาข้อมูลเสียก่อนว่ามีตามข้อร้องเรียนหรือไม่ เช่น ผู้ร้องอาจจะมีภาพถ่าย วัน - เวลา ที่หมอแอร์เดินทางไปยังคลินิกส่วนตัว หากตรงกับเวลาราชการ อาจจะเป็นหลักฐานสำคัญนำไปสู่การพิจารณาโทษได้ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น หมอแอร์ เคยให้สัมภาษณ์ว่าได้ถอนหุ้นออกจากเดอะแอร์คลินิกแล้ว ซึ่งในประเด็นนี้ก็ต้องพิสูจน์กันต่อไปว่าจริงหรือไม่ เมื่อคณะกรรมการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เรียบร้อย หากชี้ว่ามีความผิดจริง แต่เป็นความผิดเล็กน้อยโทษทางวินัย คือ กักขัง กักยาม หรือภาคทัณฑ์ แต่ถ้าผิดร้ายแรงจะมีการลงโทษใน 3 ระดับ คือ ให้ออก (ยังได้รับบำเหน็จ - บำนาญ) ปลดออก (ไม่ได้รับบำเหน็จ - บำนาญ) และ ไล่ออก (ไม่ได้รับบำเหน็จ - บำนาญ)
เรื่องราวของคุณหมอคนสวย ที่ลุกลาม “หักมุม”กลายเป็นใช้เวลาราชการไปรับจ๊อบส่วนตัวนั้น หากว่ากันตามตรง นี่ก็คือ การทุจริต - คอร์รัปชันประเภทหนึ่ง เพราะระเบียบข้าราชการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องปฏิบัติหน้าที่จนครบเวลา นั่นหมายถึงเริ่มตอน 8 นาฬิกา และไปจบที่ 5 โมงเย็น หรือว่าถ้ามีการจัดเวรยามก็ต้องอยู่ทำหน้าที่ให้จนครบ บทเรียนจากหมอแอร์ แม้ขณะนี้ยังไม่มีการชี้ผิด - ถูก แต่ข้าราชการตำรวจทุกนายควรสังวร และทำความเข้าใจให้ตรงกันว่าตำแหน่งต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องการกับตรวจตรา หรือการสืบราชการ หากไม่มีภารกิจสำคัญ เร่งด่วนทุกตำแหน่งต้องอยู่ในที่ตั้ง หรือในที่ทำงานเท่านั้นไม่ว่าจะเป็น ผบ.ตร. รอง ผบ.ตร. ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผู้บัญชาการ ผู้บังคับการ และผู้กำกับการ อีกทั้งการมีอาชีพที่ 2 เช่น เป็นข้าราชการตำรวจ แล้วอ้างว่าไม่พอกินต้องไปทำธุรกิจการค้า หรืออื่นๆหากมีการร้องเรียนและสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการ “โกงเวลาหลวง” จริง ก็อาจมีความผิดถึงขั้นให้ออก ปลดออก ไล่ออก ได้ง่ายๆ