xs
xsm
sm
md
lg

สมุนแก๊งแดงเจอคุก 2 ปี 4 เดือน รับใบสั่งบุก มท.ขวาง “อภิสิทธิ์” ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปี 52

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - ศาลสั่งจำคุกคนละ 2 ปี 4 เดือน สมุนแก๊งแดง เพิ่มอีก 2 ราย ฐานรับใบสั่งบุกมหาดไทย และร่วมกันมั่วสุม 10 คนขึ้นไป กรณีบุกไปขัดขวางอดีดนายกฯ “อภิสิทธิ์” และคณะ ประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เมื่อปี 52

วันนี้ (28 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำ อ. 598/2557 คดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชัยวัฒน์ ทองมูล อายุ 57 ปี และ นายอรุณ ฉายาจันทร์ อายุ 49 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า ก่อนวันที่ 12 เมษายน 2552 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง ได้มีจัดการชุมนุมอยู่ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล มีผู้เข้าร่วมชุมนุมหลายพันคน โดยมีจำเลยทั้งสองกับพวกอีกหลายคน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องเป็นผู้เข้าร่วมชุมนุม และมี นายสุภรณ์ หรือ แรมโบ้ อัตถาวงศ์ กับพวกอีกหลายคน แบ่งหน้าที่สั่งการผู้ชุมนุม โดยตั้งเวทีปราศรัยดังกล่าว เพื่อขับไล่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่า เป็นรัฐบาลที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาวันที่ 12 เมษายน 2552 แกนนำผู้ชุมนุมได้สั่งการ กล่าวปราศรัย ยุยงปลุกปั่น ผ่านเครื่องขยายเสียงให้จำเลยทั้งสองกับพวกผู้ชุมนุมหลายพันคน เคลื่อนขบวนไปทำการปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย เพื่อจับตัว นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และให้ทำการขัดขว้างไม่ให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาใช้สถานที่กระทรวงมหาดไทยเป็นสถานที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยจำเลยทั้งสองได้ร่วมกระทำความผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยใช้กำลังประทุษร้ายร่างกายพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รักษาความปลอดภัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและผู้ติดตามได้รับบาดเจ็บหลายรายและใช้ก้อนหินขว้างทำลายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ทะเบียน ศฮ 9205 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่มี นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นั่งอยู่ในรถ ได้ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 ขึ้นไป โดยกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และร่วมกันบุกรุกเข้าไปในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์และสถานที่ราชการ เหตุเกิดที่ แขวงราชบพิธ เขตพระนคร และ แขวงดุสิต เขตดุสิต กทม. ขอให้ลงโทษตามกระบวนกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 215, 310, 358, 362, 364, 365 โดยจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีพยานซึ่งเป็นพนักงานของรัฐจำนวน 3 ปาก ต่างเบิกความถึงเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมพากันไปปิดล้อมและเข้าไปในกระทรวงมหาดไทย และทำลายทรัพย์สินของราชการ โดยมิได้ยืนยันตัวบุคคลแต่อย่างใด ซึ่งเจ้าพนักงานของรัฐ ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงเห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวได้เบิกความตามเหตุการณ์ที่พบเห็นมา การที่กลุ่มผู้ชุมนุมมาปิดล้อมและเข้าไปภายในกระทรวงมหาดไทย ทั้งได้ทำลายทรัพย์สินทางราชการจึงไม่ถือว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ แต่เป็นการมั่วสุมตั้งแต่ 10 ขึ้นไป เพื่อก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง เมื่อจำเลยทั้งสองรับว่าได้เข้าร่วมชุมนุมและได้เข้าไปในกระทรวงมหาดไทยด้วย จำเลยทั้งสองจึงถือเป็นตัวการร่วมในการกระทำผิด และร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ราชการโดยไม่มีเหตุอันควร ส่วนที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ ว่า ขณะที่มีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. นั้น จำเลยทั้งสองเดินทางไปถึงกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้เปิดประตูรั้วและเข้าไปในกระทรวงมหาดไทย และกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำลายทรัพย์สินทางราชการอยู่แล้ว หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองจึงค่อยเดินตามเข้าไปในกระทรวงมหาดไทย โดยไม่มีเจตนาบุกรุกนั้น เห็นว่า ในวันเกิดเหตุทางการได้มีการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการและกระทรวงมหาดไทยก็ได้ปิดทำการ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้เข้าไปติดต่อราชการแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเข้าไปในกระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจ ดังนั้น พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองที่ได้ตามผู้ชุมนุมที่พังประตูรั้วเข้าไป เพื่อที่จะรวมกลุ่มกับผู้ชุมนุมเข้าไปในกระทรวงมหาดไทยนั้น จึงเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร แต่อย่างไรก็ตามการเข้าไปของผู้ชุมนุมดังกล่าว ก็เพื่อต้องการเข้าไปพบกับคณะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่เข้ามาใช้สถานที่ราชการ เพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ไม่ได้กระทำการใด อันเป็นการยึดถือครอบครองสถานที่กระทรวงมหาดไทย หรือ รบกวนการครอบครองกระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด

ส่วนความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้มีพยานใดมาเบิกความ ยืนยันว่า เห็นจำเลยทั้งสองร่วมกันทุบตีรถยนต์ของนายกรัฐมนตรีและของคณะ หรือร่วมกันทำลายทรัพย์สินของทางราชการ

อีกทั้ง ร.อ.วิชาญ นามประเทือง เจ้าหน้าที่ชุดสนับสนุนทางยุทธวิธีทำหน้าที่อารักขา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี พยานโจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุ นายอรุณ จำเลยที่ 2 ได้เดินทางมาที่รถยนต์และเข้ามานั่งในรถยนต์ โดยเพียงสอบถามเรื่องอาวุธปืนที่อยู่ในรถเท่านั้น ว่าพยานเป็นคนยิงหรือไม่ และจะขอนำอาวุธปืนไปตรวจสอบ โดยบอกกับพยานว่า ให้ตามไปและให้พยานอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งพยานยินยอมไปด้วยความสมัครใจและเมื่อตามไปถึงที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลก็ได้ไปพูดคุยกับจำเลยที่ 2 ในห้องที่มีลักษณะเป็นตู้คอนเทนเนอร์ ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 กระทำการใดที่เป็นการบังคับขืนใจแต่อย่างใด

เห็นว่าพยานโจทก์สามารถรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 ขึ้นไป และร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ แต่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันให้เสียทรัพย์และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายแต่อย่างใดพิพากษา ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคแรก, 364, 365 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม โดยให้จำคุกฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง จำคุก คนละ 6 เดือน, ความผิดฐานร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 2 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง

ต่อมาเมื่อเวลา 15.30 น. ภายหลังศาลมีคำพิพากษาทนายความจำเลยยื่นคำร้องพร้อมโฉนดที่ดินย่านปทุมธานี พร้อมเงินสดรวมมูลค่า 3แสนบาทเศษเป็นหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยชั่วคราว นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ศาลพิจารณาแล้วเห็นควรส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัย เพื่อมีคำสั่งว่าจะอนุญาตปล่อยชั่วคราวหรือไม่ ส่วนนายอรุณ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ดังนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงนำตัวจำเลยทั้งสองไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯต่อไป
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น