MGR Online - ยธ.เผยหลังการประชุม UPR รับ 6 ข้อ ยันศาลทหารมีการคุ้มครองสิทธิฯ เช่นเดียวกันกับศาลยุติธรรม หลัง คสช.มีคำสั่งให้คดีหมิ่นสถาบันฯ ม.112 ขึ้นต่อศาลยุติธรรม เริ่ม 12 ก.ย. นัดหารือกรมพระธรรมนูญ ศาลทหารอีกครั้ง
วันนี้ (13 ก.ย.) เวลา 11.30 น. กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยหลังการเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการเผยแพร่ผลการทบทวนรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) ว่าหลังจากเดินทางไปนำเสนอรายงานต่อคณะทำงาน UPR เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 59 ที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะจากประเทศต่างๆ 249 ข้อ ซึ่งประเทศไทยรับมา 181 ข้อ และนำกลับมาพิจารณาเพิ่มเติม 68 ข้อ ดังนั้น เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยจึงได้มีการประชุมกับภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะภาคประชาสังคมซึ่งมีส่วนร่วมในกระบวนการ UPR มาตลอด เพื่อจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันและร่วมมือในการขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
นายชาญเชาวน์กล่าวอีกว่า โดยส่วนมากข้อเสนอแนะที่ประเทศไทยตอบรับ คือ การพัฒนางานด้านการศึกษา สาธารณสุข การคุ้มครองกลุ่มผู้เปราะบางต่างๆ เช่น เด็ก สตรี คนพิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และ ข้อเสนอแนะที่ไทยขอรับกลับมาพิจารณา คือ ข้อเสนอเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การจำกัดเสรีภาพ ที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน การยกเลิกโทษประหาร การใช้ศาลทหาร และการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ โดยมี 6 ประเด็นสำคัญรับพิจารณาเรียบร้อยแล้ว คือ 1. การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อเสนอของประเทศฟิลิปปินส์ 2. ตั้งองค์กรอิสระเข้าไปตรวจสอบการทรมานที่ถูกกล่าวหาว่าเกิดขึ้น รวมทั้ง จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ข้อเสนอของประเทศแคนาดา
“3. กรณียกเลิกโทษการประหารชีวิตและอยู่ระหว่างดำเนินการ เพราะว่าเรื่องดังกล่าวถูกบรรจุอยู่ในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ข้อเสนอของประเทศฝรั่งเศส 4. ปฏิบัติตามมาตราฐานของสหประชาชาติว่าด้วยการปฎิบัติต่อผู้ต้องขัง โดยจะให้หน่วยงานหรือองค์กรอิสระเข้าไปตรวจสอบการถูกกล่าวหาว่ามีการทรมานในเรือนจำ ที่สังกัดในกระทรวงยุติธรรมทุกแห่งได้ ข้อเสนอของสหราชอาณาจักร 5. เสนอกฎหมายเพื่อลดและป้องกันการกดขี่ทางเพศในทุกรูปแบบ เช่น เสนอ พ.ร.บ.ความเสมอภาคทางเพศ พ.ร.บ.ผู้กระทำผิดความรุนแรงในครอบครัว ข้อเสนอประเทศคีร์กีซสถาน และ 6.ปรับลดข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิเด็ก โดยเฉพาะเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศอายุต่ำกว่า 13 ปี จะมีบทลงโทษผู้กระทำชำเราไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งตามหลักกฎหมายต้องอายุ 17 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ กรณีเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปแต่ถูกละเมิดทางเพศ ถ้าเด็กยินยอมจะให้สมรสกับผู้ละเมิดนั้น หลายประเทศไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้และให้มีการปรับแก้กฎหมายเพราะเด็กไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง” ปลัดกระทรวงยุติธรรมกล่าว
นายชาญเชาวน์กล่าวต่อว่า ประเทศไทยรับพิจารณาข้อเสนอ 6 ข้อดังกล่าวเรียบร้อยแล้วแต่หลังจากคำสั่ง คสช.ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 59 ที่ผ่านมา ทำให้ต้องดูด้วยว่าข้อเสนอแนะอื่นๆ จะสอดคล้องกับคำสั่ง คสช.หรือไม่ หากไม่สอดคล้องก็รับไม่ได้ โดยประเด็นเกี่ยวกับพลเรือนขึ้นศาลทหารมาเป็นศาลกระทรวงยุติธรรม ประเทศสมาชิกกลุ่มยูเอ็นมีความคิดเห็นต่างๆ ให้ยกเลิกหรือโอนไปศาลกระทรวงยุติธรรม ซึ่งจะมีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะว่าในวันที่ 23 ก.ย.นี้ โดยนายธานี ทองภักดี เอกอัครราชฑูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องไปรายงานผลการรับข้อเสนอแนะ คาดว่าวันที่ 15 ก.ย.นี้จะมีนัดประชุมอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ถ้ารับเพิ่มก็ต้องเอามาพัฒนาส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ขับเคลื่อนตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ส่วนข้อที่รับไม่ได้ต้องมาศึกษาเหมือนกันว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะตัดทิ้งเสียเลย
นายชาญเชาวน์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้กระทำความผิด 3 กลุ่ม 1. ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหมิ่นสถาบัน ม.112 ความผิดความมั่นคงต่อราชอาณาจักร 2. ผู้ที่กระทำความผิดคำสั่ง คสช. และ 3. ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธสงคราม หากพบว่ากระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. 59 เป็นต้นไป ให้ขึ้นต่อศาลยุติธรรม ส่วนคดีที่ยังค้างอยู่ให้ดำเนินให้แล้วเสร็จในศาลทหาร ถึงแม้ว่าจะเป็นศาลทหารก็มีการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้กระทำผิดเช่นเดียวกันกับศาลยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ในวันที่หารือกันก็จะเชิญกรมพระธรรมนูญ ศาลทหาร มาร่วมชี้แจงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง