เวลานี้ถ้าเอ่ยชื่อทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ รับรองว่าไม่มีใครไม่รู้จักเขา แต่ถ้าถามต่อไปว่า “ทนายมหาชน”ผู้นี้เป็นใครมาจากไหนคงต้องอึ้งนึกคำตอบต่อไปไม่ได้ อย่ามากคงบอกว่าก็เป็นทนายคนที่ทำคดีดังมาหลายคดีไงล่ะ!!??...ถูกต้อง...แต่ยังมีอะไรมากกว่านั้นที่สังคมไทยควรรู้จักตัวตนของเขาให้มากกว่านี้
ด.ช.สงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ เป็นเด็กบางพลัด ฝั่งธนบุรี หรือเป็นคนกรุงเทพฯนี่แหละ เป็นบุตรคนสุดท้องของพี่-น้อง 4 คนของคุณพ่อเมี้ยน แม่อรุณ มีคุณปู่เป็นตำรวจยศสิบเอกชื่อกรวย เชื่อมแก้ว ประจำอยู่ สถานีตำรวจนครบาลบางพลัด ซึ่งในสมัยนั้นมีแต่เรือกสวนไร่นาเวลาชาวบ้านจะแจ้งความทีต้องใช้เรือแจวเป็นยานพาหนะ “พ่อเล่าให้ฟังว่าเวลาปู่ออกตรวจนอกจากปืนพกยังมีมีดดาบยาวติดตัวไปด้วย ก็น่าจะรุ่นเดียวกับขุนพันธ์ แต่อยู่คนละที่ คนละยศตำแหน่งแต่เป็นตำรวจยุคสมัยเดียวกัน” ทนายสงกานต์ เล่าอดีตให้ฟังอย่างเริ่มออกรส
“ปู่ผมเป็นคนบางพลัด แม่เป็นสาวลพบุรี อ.ท่าวุ้ง บ้านเบิก ตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตอนเด็กๆ แม่บอกว่าผมรูปร่างคล้ายกะหล่ำปี ผิวขาวจึงเรียกไอ้ผัก ....สมัยเด็กทางบ้านมีโรงงานทำไอติม แบบกระติกใช้หวายสะพายตั้งอยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 79 เสาร์ - อาทิตย์ ทีมีเด็กๆ มารับไอติมที่บ้านไปขายกันเป็นร้อยคน ผมเองถูกเกณฑ์ให้ไปขายด้วยเพราะพ่อ-แม่ต้องการให้รู้จักค่าของเงิน จึงติดนิสัยชอบช่วยเหลือตัวเองมาโดยตลอด”
ปู่เป็นตำรวจ ตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่ไม่เคยทำให้เขามีแรงบันดาลใจสักนิดว่าจะต้องเจริญรอยตาม.... “ความจริงผมชอบชีวิตเรียบง่าย ไม่เคยคิดจะต้องเป็นตำรวจหรือรับราชการอะไร ผมเรียนจบ ป.6 จากโรงเรียนวัดบางพลัดใน จากนั้นไปต่อมัธยมที่โรงเรียนวัดเขมาฯ จ.นนทบุรีจนจบ ม.6 สายวิทย์ฯ-คณิตย์ ช่วงที่เป็นนักเรียนส่วนใหญ่ผมจะได้เป็นหัวหน้าห้องบ้าง เป็นประธานนักเรียนบ้างอาจเพราะเราชอบทำกิจกรรม มีความรับผิดชอบดีจึงได้รับมอบหมาย กระทั่งจบ ม.6 ยังไม่ได้ต่อระดับมหาวิทยาลัย มีโอกาสรู้จักกับ พ.อ.สมนึก สุนทรโภคิน อาจารย์สอนโรงเรียนเตรียมทหาร ท่านเมตตาผมจึงให้ผมทำงานด้วย เป็นคนติวน้อง ๆ นักเรียนบ้าง ดูแลอย่างอื่นบ้าง เรียกว่าหาเงินช่วยตัวเองเพื่อเตรียมเรียนต่อ ตอนนั้นเกิดไปเจอกับพี่ป๊อป ธัญญาลักษณ์ โรจนนันท์ ผจก.กองถ่ายกันตนาวีดิโอ.ฯ คุยกันถูกคอ พี่เขาเห็นว่าผมมีลักษณะเฉพาะตัว หล่อก็ไม่หล่อแต่ดูมีเอกลักษณ์จึงให้ผมเป็นตัวประกอบ เรื่องแรกคือ “บาปบริสุทธิ์” ออกอากาศทางช่อง 5 ต่อมาก็ “คุณเลือกได้”ทางช่อง 7 ได้ค่าตัววันละ 5 - 600 บาทซึ่งผมถือว่าเยอะแล้วในตอนนั้น”
ชีวิตทำท่าจะกลายเป็นดารา หรือเอาดีกันทางนี้....ทนายสงกานต์ เล่าต่อไปว่าเขามีโอกาสรู้จักกับ “บิ๊กบอส”กันตนาคือคุณต๊ะ นิรัตติศัย กัลย์จาฤก จึงทำให้พัฒนาจากตัวประกอบไม่มีบทมาเป็นนักแสดงสมทบ ประเดิมจากเรื่อง “เพชรตาแมว” ออกอากาศช่อง 5 สนามเป้า -ชุมทางเขาชุมทอง -อัศจรรย์ใจไทยแลนด์ -ใครผิดใครถูก-พยัคฆ์ยี่เก ก่อนไปเล่นหนังใหญ่เรื่อง “ถนนนี้หัวใจค่าจอง”แต่ที่ประทับใจมากคือละครโทรทัศน์เรื่อง “ตี๋ใหญ่”โดยรับบทเป็นตำรวจตามล่าพระเอกตี๋ใหญ่ของเรื่องแสดงโดยศรราม เทพพิทักษ์ และถูกตี๋ใหญ่ยิงตาย.....วินาทีนั้น “สงกานต์”เชื่อว่าไงเสียเขาก็คงจะอยู่ในวงการบันเทิงอย่างแน่นอนแล้ว..จากค่ายกันตนา มีโอกาสเข้ามาทำหน้าที่ผู้ประสานงานให้กับบริษัทอาร์เอส.โปรโมชั่น ซึ่งมีละครดังเข้ามาหลายเรื่องอาทิ “สันติบาล -นายขนมต้ม”
....ชีวิตผมหันเหอีกแล้ว แม้จะอยู่วงการบันเทิงแต่มีโอกาสสัมผัสตำรวจมากขึ้นเช่น สารวัตรแรมโบ้ (พ.ต.อ.สุรโชค วิเศษจิตร) ที่มาแสดงละครเรื่องนายขนมต้ม ด้วยความที่สัมผัสกับตำรวจมากแต่ไม่อยากเป็นตำรวจ จึงไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยสยาม คณะนิติศาสตร์...ตอนนั้นผมมีครอบครัวแล้ว...มีลูกสาว 2 คนแต่ที่สุดต้องเลิกรากับภรรยาไป...ลำบากมากครับต้องช่วยตัวเองทุกอย่างเพราะผมถือว่าเป็นหน้าที่ของเรา...เวลาไปถ่ายละครผมก็หอบเอาลูกไปกองถ่าย...ทุลักทุเลจนคนในกองเขาสงสาร ส่วนเจ้านายก็เห็นใจ....
จากนักแสดงสมทบเริ่มผันตัวมาเป็นคอลัมนิสต์ และผู้จัดรายการโทรทัศน์.. “ผมเคยเขียนคอลัมน์..ผ่าหัวใจโปลิศ มาก่อน รายได้ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการฝึกทักษะ.....ช่วงที่แสดงละครโทรทัศน์ และมีบทเกี่ยวกับตำรวจ - ผู้ร้ายบ่อย ๆ จึงเข้าเป็นวิทยากรโครงการ “โปลิศจูเนียร์”ของพี่อวบ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ซึ่งตอนนั้นท่านเป็นนายเวรฯ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นรายการเกี่ยวกับสมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต ผมทำหน้าที่คอบประสานหาดารามาช่วยจึงเริ่มรู้จักตำรวจมากขึ้น และเริ่มจัดแสดงโชว์ชิงตัวประกัน สาธิตการปฏิบัติหน้าที่ในหลากหลายรูปแบบของตำรวจคอมมานโด ผมเอาเอฟเฟคระเบิดบ้าง ยิงปืนบ้าง เรียกว่าหนังไทยเป็นยังไงเอามาใช้หมด..การแสดงสยบริปูสะท้าน โดดจากตึก 5 ชั้น ซึ่งประสบความสำเร็จมากในด้านชื่อเสียงแต่รายได้ยังเหมือนเดิมคือได้บ้างไม่ได้บ้าง
...ลูก 2 กำลังกินกำลังนอน..ชีวิตย่ำกับที่แบบนี้ไม่ดีแน่....สงกานต์บอกกับตัวเองเมื่อมีผู้หยิบยื่นโอกาสให้เขาขยับขึ้นมาเป็นผู้จัดละครโทรทัศน์ หนุ่มน้อยผู้มากประสบการณ์ในแวดวงจอตู้จึงรีบฉวยไว้ทันที...รายการแรกและรายการสุดท้ายคือ “ปิดทองหลังพระ”ออกอากาศทางช่อง 9 อสมท.เฉพาะวันหยุดนักขัตฤกษ์ 14 ครั้งต่อปี สงกานต์ ทำหน้าที่เขียนบทเองติดต่อประสานดารา และอื่นๆทั้งหมด
....”ผมยังจำวันนั้นอย่างติดตา เรื่องดีใจ ภูมิใจไม่ต้องพูดถึง ต้องกราบขอบพระคุณพี่อวบ พี่จูดี้ (พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ) ท่าน ผอ.สรจักร เกษมสุวรรณ ผอ.ช่อง 9 อสมท.ขณะนั้นและคุณเจริญ ศิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้างในฐานะสปอนเซอร์หลัก....ทุกท่านบอกให้ผมตั้งใจทำงาน ท่าน ผอ.สรจักร เห็นว่าเป็นรายการที่มีประโยชน์ต่อสังคมกรุณาลดค่าเช่าให้ครึ่งหนึ่งทำให้ผมมีทุนสร้างละครให้ดีขึ้น นักแสดงทุกคนก็ดีมากเลยครับ ไม่มีใครเกี่ยงค่าตัว เทคิวให้ตลอด แต่ที่ผมประทับใจมากจริงๆ จนถึงทุกวันนี้ก็คือคุณเจริญ.....
ท่านนัดให้ผมไปพบที่อาคารแสงโสม ถนนวิภาวดีฯ พอเจอหน้าท่านจับไหล่ผมแล้วบอกว่า...คุณสงกานต์ คนเป็นคนรับผิดชอบดี ผมเชื่อว่าคุณจะไปได้ไกลกว่านี้....ผมยังหัวเราะ รู้สึกเขินในคำชมของท่าน แต่อีกความรู้สึกหนึ่งคือมันจะจริงหรือเพราะเรายังลำบาก ลุ่ม ๆ ดอน ๆ .... ทำได้ 3 ปีกว่ามีรางวัลการันตีคุณภาพรายการ “ปิดทองหลังพระ”มากมายแต่เมื่อหมดยุค ผอ.คนเก่าเข้าสู่วาระของ ผอ.มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เกิดการปรับเปลี่ยนผังรายการขนานใหญ่....ข่าวร้ายเข้ามาในชีวิตอีกครั้งเมื่อรายการของเขาหลุดจากผัง...ทั้งที่ถ่ายสต็อกไว้ และที่ตัดต่อเรียบร้อยเตรียมออกอากาศกลายเป็นค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท
ช่วงนั้นลำบากที่สุด....ธนาคารก็บี้ รายได้ไม่มี จังหวะผมเรียนจบกฎหมายพอดีและมีผู้แนะนำให้ติดต่อกับคุณวิชิต ปลั่งศรีสกุล ฝ่ายกฎหมายพรรคไทยรักไทย ผมถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของพรรค ไปนั่งทำงานแถวๆสนามม้านางเลิ้ง ทำได้ 6 เดือนก็ออกเพราะรู้สึกไม่ใช่ตัวตนของเรา...จากนั้นไปเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายให้กับท่านเอนก เหล่าธรรมทัต หัวหน้าพรรคมหาชน ...ผมมีบทบาทพอสมควรนะ คือเป็นคนเขียนคู่มือกฎหมายเรื่อง “รู้เขารู้เรา”นำไปแจกจ่ายแก่สมาชิกพรรคหลายพันเล่ม จากนั้นมีโอกาสเข้าอบรมสถาบันพระปกเกล้าฯโควตารุ่นผู้บริหารพรรคการเมืองกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย (พปป.4) และผุ้นำการเมืองยุคใหม่ รุ่น 6 (นมป.6) และในตอนนี้ได้เรียนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย เป็นการเพิ่มเติมความรู้ให้กับตัวเองด้วย
วันหนึ่ง...อันเป็นวันที่ผมพบกับตัวเองและทำให้ก้าวมาสู่จุดนี้เมื่อมีโอกาสเข้ามนัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ซึ่งผมเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของท่านคนหนึ่ง วันนั้นผมเข้าไปกราบนมัสการท่านตอนบ่าย ๆ คุยเรื่องราวต่าง ๆ และมาหยุดที่สถานการณ์ของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีขบวนการทำลายในรูปแบบต่างๆมากมาย ทั้งจากชาวบ้าน จากพวกมิจฉาชีพ และพระสงฆ์ด้วยกันเอง....ผมถามท่านว่าหากมีนักกฎหมายไปจับพระทำผิดสึกถือว่ามีบาปหรือไม่...ท่านบอกผมว่าไม่หรอกโยม...การกระทำเช่นนั้นถือว่าได้บุญ ได้กุศลมากกว่าอะไรทั้งหมดเพราะเป็นการปกป้องพุทธศาสนาให้พ้นจากพวกมารร้าย...การจะให้พุทธศาสนาจรรโลงอยู่จะต้องจัดการกับอลัชชีทุกประเภท พวกเสพเมถุน พวกหลอกลวง...หากมีใครเอาจริง ทำจริงจะได้กุศลที่สุด....
”ผมเห็นแสงสว่างในชีวิตในตอนนั้นเอง... ต่อไปนี้พวกอวดอุตริ พวกหลอกลวงชาวบ้านจะต้องเจอกับผม..จำได้ว่ากว่าจะออกจากวัดชนะสงครามก็เกือบๆสองยาม กลับมาถึงบ้านผมเริ่มศึกษาแนวทางทันที”
นี่คือจุดเริ่มต้นในฐานะทนายความของแผ่นดิน และประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์...คดีแรกฟ้องร้องดำเนินคดีแก่นายสิทธิกร มาฉิม (เสี่ยอู๊ด) กับพวกคดีพระสมเด็จเหนือหัว คดีพระภิกษุ 2 รูปกระทำอนาจารสามเณร 3 รูปจังหวัดเลย คดีนายแน๊ต พีรกร กล่าวหานายพงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง คดี จัดสร้างหนังพระไตรฎปิฎก คดีพระเกษม อาจิณสีโล วัดสามแยก จังหวัดเพชรบูรณ์ คดีหลวงปู่เณรคำ คดี พ.อ.ปิยะวัฒน์ กิ่งเกตุ ฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ คดีพระมาร์กหน้าทองคำให้สีกา หรือ “พุทธิศักดิ์คลินิก จังหวัดเพชรบูรณ์ คดีพระแพลงกิ้ง คดีนาตาลี 100 หน้า คดีหมอเสน่ห์การะเวก คลอง 7 จังหวัดปทุมธานี คดีหมอเสน่ห์ลวงขายอีเป๋อ -ไอ้งั่ง คดีสีกาแบล็คเมล์ พระแสวงวัดยานนาวา คดีผู้กำกับภาพยนตร์โกงค่าตัว กีตาร์ (นางแบบนิตยสารแม็กซิม) คดีช่วยเหลือสองตายายเก็บเห็ด คดีอั้ม เนโกะ กับพวกหมิ่นเบื้องสูง คดีห้างดัง เจ.เจ.มอลล์ และออนสแควร์ คดีครูหื่นเซ็กซ์โฟน จังหวัดอุบลราชธานี คดีหลวงปู่พิมพ์ จังหวัดชัยภูมิ คดีกลุ่มนักศึกษาหญิงเต้น แหก แหวก โชว์ คดีอดีต ผอ.โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ถูกกล่าวหาว่าทำอนาจาร คดีพจน์ อานนท์ ฟ้องคดีอาญานายสมยศ คดีชาวชุมชนเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรแจ้งจับเจ้าอาวาส คดีผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดดังตีสุนัขปางตาย จังหวัดสมุทรสาคร คดีฆาตกรรมอำพราง ด.ช.ศุภชัย ธรรมพัฒน์ (น้องต๊อก) จ.พิษณุโลก และคดีล่าสุด เปิดหน้ากากคุณนายไก่ -วันทนีย์ หยกวิริยะกุล
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นหากยังไม่มีคำถามเฉพาะอีก 2-3 คำถามเราอาจยังมีอะไรติดค้างใจอยู่บ้าง....ทำไมทนายสงกานต์ ต้องใส่แหวนมากมายเกือบครบทุกนิ้ว....เขาหัวร่อลงคอเอิ๊กอ๊ากก่อนอธิบายว่า....ที่มาก็คือผมเป็นคนเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อในพระคุณแม่-พ่อ ครูบาอาจารย์ และเชื่อในคุณไสยต่างๆด้วย....
วันหนึ่งระหว่างที่ผมทำคดีหมอไสยศาสตร์รายหนึ่งซึ่งเขามีพฤติการณ์หลอกหญิงสาวที่ไปทำเสน่ห์จะต้องร่วมประเวณีหลับนอนกับเขาด้วย...ถ้าเหยื่อเป็นหญิงนอนกับหมอ...ถ้าเป็นชายเขามีสาวๆ จัดหามาให้...มีเหยื่อเป็นผู้หญิงมาขอให้ผมช่วย เขาเจ็บใจเสียทั้งเงิน เสียทั้งตัว แถมมันยังจะเอาภาพที่ถ่ายไว้ไปประจานหากไม่ยอมไปหา หรือให้เงิน...ช่วงคดีเข้าด้ายเข้าเข็มคืนนั้นดึกสงัดมากแล้วผมตกใจตื่น เหงื่อไหลท่วมตัวทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำอยู่ทุกๆ คืน จากนั้นผมเดินเข้าไปยังห้องทำงานแบบไม่รู้สึกตัว คล้ายๆตกอยู่ในภวังค์อะไรสักอย่างมาสามารถบังคับตัวเองได้ ... คุณเชื่อไหมภายในห้องทำงานของผมปรากฏว่าข้าวของ-เอกสารกระจัดกระจาย มีน้ำจากไหนไม่รู้ไหลลงมาจากเพดานท่วมห้องเต็มไปหมด...บรรยากาศวังเวงแบบที่เคยดูในหนังนั่นแหละ ผมรู้สึกว่าหายใจไม่ออกกำลังจะจมน้ำจึงตะโกนร้องให้ลูกช่วย พอลูกวิ่งเข้ามาแล้วเปิดไฟ ทุกอย่างกลับเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ห้องยังเรียบร้อย เอกสารยังเก็บอยู่ในที่ ไม่มีน้ำแม่แต่หยดเดียว ส่วนผมข้อศอกแตกเพราะหกล้ม...จากวันนั้นผมมีเครื่องขลังอะไรก็จะนำมาติดตัวหมด...ทั้งไว้ป้องกันและเพื่อส่งเสริมเรา ถ้าคิดดีทำดี สวรรค์ เทวดา หรือภูตผีก็ต้องรู้”
ทนายสงกานต์ ล้วงพระเครื่องในคอออกมาโชว์ ซึ่งคาดว่ามีเกือบ 20 องค์ ส่วนแหวนประดับนิ้วมี 6 วงแยกซ้ายขวาอย่างละครึ่ง มีแหวนไหมทอง แก้วขนเหล็ก หมอกมุมเมือง กำไรหางช้าง เป็นต้น
รายได้จากการเป็นทนายชื่อดัง.....หลายคนอาจคิดว่าผมรวยจากอาชีพทนายความ แต่ความจริงแค่พออยู่ได้ ปีหนึ่งผมจะรับว่าความประมาณ 10 คดีหลักการค่าใช้จ่ายต่างๆ คือ 1.ค่าพาหนะ 2.ค่าที่พัก 3.อื่นๆ ต้องตกลงให้ชัดเจน อีกประการที่ผมถือเป็นจรรยาบรรณคือหากลูกความมีทนายอยู่แล้วผมจะไม่รับ - ความลับของลูกความจะไม่นำไปเปิดเผย “ ความสุขของผมคือการได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่เขามีความทุกข์กาย ทุกข์ใจอยู่นั้นให้ปลดเปลื้องหรือหายไป หรือบรรเทาเบาบางลงให้มากที่สุดโดยไม่มุ่งหวังว่าการให้คำปรึกษา หรือช่วยเหลือทางด้านกฎหมายนั้นจะต้องได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเสมอไป เพราะการช่วยเหลือให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้นั้นช่างมีคุณค่าอันยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าเงินตราใดๆ เป็นความสุขที่ไม่อาจซื้อหาได้ตามร้านค้าทั่วไป ผมจะทำต่อเรื่อยๆจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
คำถามสุดท้ายคุณเป็นเสื้อแดง -มีสีเสื้อใดหรือไม่.....หัวเราะ...ก่อนตอบว่า...ผมไม่มีเสื้อ แต่การเข้าร่วมงานฝ่ายกฎหมายกับคุณวิชิต อาจทำให้สังคมมองผมอย่างนั้นซึ่งก็ไม่เป็นไร จะสีเสื้ออะไรเราคนไทยทั้งนั้น ผมรับได้เว้นแต่พวกดูหมิ่นสถาบันฯ...ผมรักและเทิดทูนพระองค์ท่านสูงสุดของชีวิต...ไม่ว่าใครหน้าไหนหากรุกล้ำต่อพระองค์ผมจะไม่เว้น...พระองค์คือแบบอย่างของคนดี..เวลาผมท้อแท้หมดกำลังใจกลับเข้าบ้านขึ้นห้องทำงานเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่ท่านทรงงานทำให้ผมหายเหนื่อย และไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคใดๆ...
(ติดตามผลงานทนายมหาชน ได้ที่ เฟสบุ๊กสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์)