MGR Online – “พล.อ.ไพบูลย์” เตือนอย่าใช้วิธีนอกระบบเคลื่อนไหวกดดัน กรณีผลสอบรถหรู “สมเด็จช่วง” ผิดถูกก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ย้ำ ดีเอสไอเปิดให้ผู้เห็นต่างเข้าพบหลายครั้ง ถ้าเจ้าหน้าที่ผิดฟ้องได้เลย ลั่น หากกลัวม็อบคงเป็นผู้รักษากฎหมายไม่ได้
สืบเนื่องจากกรณี พระเมธีธรรมาจารย์ (เจ้าคุณประสาร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กเรียกร้องให้พระสงฆ์ทั่วประเทศ และพระธรรมทูตทั่วโลก ออกมาชุมนุมพิทักษ์ปกป้อง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และพระพุทธศาสนาในประเทศไทย อ้างว่า สถานการณ์ไม่ปกติ เพราะมีกลุ่มคนหลากหลายอำนาจมาทำภารกิจพิเศษ เพื่อโยนบาปมาให้คณะสงฆ์ไทย เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 59 ที่ผ่านมา
วันนี้ (25 ก.ค.) เวลา 14.45 น. ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ต้องดูก่อนว่าจะออกมาเคลื่อนไหวเรื่องอะไร โดยชอบธรรมหรือไม่ต้องดูวิธีการ แต่จะบอกว่าผิดหรือถูกคงไม่ได้ หากใช้คำว่า ม็อบ ก็คงไม่ถูก รวมทั้งหากมาเกี่ยวข้องอ้างถึงการปฏิบัติหน้าที่ของดีเอสไอ ก็ไม่ถูกต้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำตามขั้นตอนของกฎหมาย และเป็นคนละส่วนกับการแต่งตั้งสังฆราช ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรม
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ดีเอสไอ เปิดโอกาสให้ผู้ที่เห็นต่างเข้ามาพบหลายครั้งแล้ว หากคิดว่า ดีเอสไอ ไม่ได้ทำตามหน้าที่ก็ฟ้องมาเลย เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง และก็ต้องใช้หลักกระบวนการยุติธรรม แต่หากใช้กระบวนการนอกระบบยุติธรรม เหมือนกับการจัดตั้งม็อบ และมาเชื่อมโยงกับประเด็นดังกล่าว ตนก็ไม่เห็นด้วย เพราะ ดีเอสไอ เปิดโอกาสให้เข้ามาชี้แจง หรือตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ฝ่ายไม่เห็นด้วยก็มีอีกหลายวิธีการที่สามารถใช้กระบวนการยุติธรรมได้ และไม่เห็นต้องใช้ในด้านอื่น แต่หาก ดีเอสไอ ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ตนก็ต้องให้หน่วยงานเขาทำ ซึ่งตนเป็นผู้บังคับบัญชาก็ต้องออกมาปกป้องการทำหน้าที่ตามกฎหมาย และไม่เคยก้าวก่ายในการทำงาน นอกจากนี้ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยซึ่งต้องเข้าใจทั้งสองฝ่าย
“ส่วนกรณี พระเมธีธรรมาจารย์ บอกว่า สมเด็จช่วง ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่นั้น ผมบอกเสมอว่า กระบวนการยุติธรรมจะจบที่ศาลยุติธรรม และขณะนี้ยังอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวน ซึ่งเห็นว่า มีความผิดเกี่ยวข้องกับคดีนั้น แต่ท้ายสุดแล้วกระบวนการมันจะจบสิ้นจริง ๆ ขึ้นอยู่กับศาลยุติธรรม อีกทั้งเรายังไม่รู้เลยว่าอัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ ก็เหมือนกับคดีวัดพระธรรมกาย ซึ่งมันเป็นขั้นเริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรม แต่ขอให้ออกมาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมแค่นั้นเอง” รมว.ยธ. กล่าว
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับ นายสมศักดิ์ โตรักษา ที่ปรึกษาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ออกมาตั้งข้อสังเกตการแถลงข่าวของ ดีเอสไอ เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า อาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่นั้น ถ้าคิดว่า ดีเอสไอ ละเมิดสิทธิ ก็สามารถฟ้องมาได้เลย ใช้กระบวนการยุติธรรมฟ้องพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ซึ่งเป็นเรื่องถูกต้อง เพราะใช้สิทธิของตัวเองในกระบวนการยุติธรรม แต่อย่าใช้อย่างอื่น หากผิดก็ต้องถูกลงโทษเอง ตนก็ไม่เคยเข้าข้างลูกน้อง และสิ่งที่ตนกลัวมากที่สุด คือ กลัวผู้ใต้บังคับบัญชาทำผิดกฎหมาย ตนไม่เคยกลัวม็อบ หากกลัวเราจะมายืนอยู่เพื่อเป็นผู้รักษากฎหมายได้อย่างไร
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 27 ก.ค. นี้ คณะกรรมการพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ซึ่งมีอัยการร่วมอยู่ด้วย จะประชุมเพื่อกำหนดแนวทางว่า สมเด็จช่วง อาจเข้าข่ายความผิดข้อหา 1. ร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งสินค้า โดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี หรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน และ 2. ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน หรือความผิดอื่น ๆ ด้วยหรือไม่