MGR Online - “พล.อ.ไพบูลย์” ระบุดำเนินคดี “ธัมมชโย” ตามขั้นตอนกฎหมาย แต่หากปกครองทางสงฆ์ไม่เชื่อฟังตามระบบอาวุโส เจ้าหน้าที่เตรียมดำเนินการเอง
วันนี้ (14 ก.ค.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีต่อพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาคดี สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร ว่าตนพูดตั้งแต่แรกเมื่อ 3-4 เดือนที่แล้วว่าการที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอส่งสำนวนคดีพระธัมมชโยให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษซึ่งนัดฟังพิจารณามีความเห็นสั่งฟ้องคดีหรือไม่สั่งฟ้องนั้น ในวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมาเป็นอำนาจของอัยการ แต่สุดท้ายได้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 11 ส.ค. 2559 แทน สื่อก็ไปเขียนว่าอัยการขีดเส้นตายและก็มาถามตนว่าอัยการขีดเส้นตาย โดยตนไม่รู้ แต่เชื่อว่าไม่ใช่เส้นตาย เป็นเรื่องของการตรวจสอบสำนวนซึ่งมีขั้นตอนอีกมากมาย หรืออาจจะสั่งสอบเพิ่มเติม หรือสั่งให้นำตัวผู้ต้องหามา ก็เป็นไปตามหลักกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ถ้าไม่ครบถ้วนอัยการก็จะสั่งให้สอบเพิ่มเติม
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องของการเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายรอบ 2 สามารถทำได้ 2 อย่าง คือ 1. ดีเอสไอทำได้เองเพราะมีหมายจับที่ศาลอนุมัติให้แล้ว 2. อัยการสั่งให้ดีเอสไอไปนำตัวผู้ต้องหามา ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่นั้นตนยังไม่ได้สอบถามพนักงานสอบสวน ปล่อยให้พนักงานสอบสวนได้ทำหน้าที่ไปเพราะน่าจะประเมินสถานการณ์ของเขาเองได้ว่าเมื่อไหร่ควรจะทำ แต่ทราบเพียงว่าตอนนี้ทางดีเอสไอขอเวลาดูที่อัยการก่อนว่าจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องสำนวนอย่างไร กรณีของพระธัมมชโยตามกระบวนการยุติธรรมเมื่อพนักงานสอบสวนได้กล่าวหาใครก็ตามเป็นผู้ต้องหาแล้วไม่ได้หมายความว่าเรื่องจะยุติแค่ไหน เพราะจะต้องไปยุติที่ศาลยุติธรรม และตนก็เคยพูดแล้วว่าอัยการอาจจะยกฟ้องคดีหรือไม่ก็ได้ และก็จะเห็นได้ว่าวันนี้เมื่อส่งสำนวนไป ไม่ใช่อัยการจะเห็นพ้องกับพนักงานสอบสวนทั้งหมด
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวต่อว่า แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าผู้ต้องหาทำให้คดีทั่วไปกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปเรื่อยๆ และก็ผูกพันเป็นเรื่องเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงตอนนี้ก็เริ่มเกรงกลัวว่าจะไม่ให้ประกันตัว ทั้งที่ตอนช่วงที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกก็บอกแล้วว่าให้มารับทราบข้อกล่าวหาและจะให้ประกันตัวไปต่อสู้ในชั้นศาลได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมพระธัมมชโยถึงได้กลัว ก็ต้องถามว่าท่านผิดจริงหรือไม่ ถ้าท่านมั่นใจว่าไม่ผิดอย่างที่ได้สื่อกับสังคมก็ไม่ควรกลัวที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“ขณะนี้ทางมหาเถรสมาคม (มส.) ได้สั่งให้ผู้ปกครองสงฆ์ไปดำเนินการ ก็ไม่รู้ว่าจะมีการเชื่อฟังกันหรือไม่ในระบบ แต่โดยหลักแล้วควรจะเชื่อผู้ปกครอง ถ้าไม่เชื่อฟังก็ไม่เข้าใจว่าการปกครองทางสงฆ์มีกฎระเบียบอะไรถึงตั้งองค์กรขึ้นมาแล้วควบคุมกันไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นกระบวนการยุติธรรม และมาพูดกับพนักงานสอบสวนว่าผู้ปกครองทางสงฆ์ได้กรุณาลงมาก็ให้ดูเหตุและผลด้วย ทั้งนี้ ทุกคนได้รับทราบและมั่นใจว่าไม่ได้มีการกลั่นแกล้งพระธัมมชโยอย่างที่ศิษยานุศิษย์และโฆษกวัดพระธรรมกายพูดมาตลอด แต่ปัญหาก็คือท่านควบคุมกันได้หรือไม่ ก็ต้องมาคอยดู และนี่อาจเป็นเหตุผลที่จะต้องออกหมายค้น ต้องดูทางฝ่ายปกครองสงฆ์และอัยการอีกสักระยะ”
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า หากดูแลกันในฐานะผู้ปกครองที่เป็นผู้บังคับบัญชาไม่ได้มันก็จะยุ่งยาก ต้องคุยกันว่าให้ผู้ดูแลทางสงฆ์ที่เราเชื่อว่าระบบของสงฆ์มีการปกครองเรื่องอาวุโส มีขั้นตอนแต่หากไม่ฟังกันแล้วก็ไม่สามารถปกครองกันได้แล้วจะกลายเป็นคำถามให้แก่สังคมเหมือนกันว่าทำไมจึงปกครองกันไม่ได้ และถ้าทางฝ่ายสงฆ์ดำเนินการได้เรียบร้อยเรื่องก็จบ พนักงานสอบสวนก็ไม่ต้องทำตามแผนที่ได้วางไว้ อย่างไรก็ตาม หากทางสงฆ์บอกว่าจัดการกันไม่ได้ เรื่องก็ต้องมาถึงฝ่ายพนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการเอง