MGR Online - ทายาทตระกูล ตัณฑประภา พร้อมทนายความเดินทางเข้าร้องตำรวจกองปราบ ดำเนินคดีเครือญาติฐานปลอมแปลงพินัยกรรม โกงมรดกที่ดินย่านบางรักและทุ่งครุ มูลค่ารวมกว่า 700 ล้านบาท
วันนี้ (13 ก.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.30 น. นายสมพล และนางดวงพร ตัณฑประภา พร้อมด้วยทนายความเดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ ผกก.(สอบสวน) บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดี น.ส.เจนสุนันท์ นภัสกรพงษ์ ฐานปลอมพินัยกรรมเพื่อยักยอกมรดกที่ตนและเครือญาติสมควรได้รับอย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยเป็นที่ดินย่านทุ่งครุ เขตราษฎร์บูรณะ จำนวน 16 ไร่ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท และที่ดินพร้อมอพาร์ตเมนต์ ย่านบางรัก อีกว่า 4 ไร่มูลค่า 400 ล้านบาท รวม 700 กว่าล้านบาท
นายสมพล ให้การว่า บิดาและมารดาของตนเป็นทายาทโดยตรงของขุนสิทธ์ และ นางลูกอินพร ตัณฑประภา ซึ่งเป็นเจ้าของมรดกคนแรกโดยมีบุตรทั้งหมด 7 คน คือ นายโภค น.ส.สุภัทรา นางภรณ์ นายสุรพล และนางเพิ่มผล ตัณฑประภา ต่อมาขุนสิทธ์ และนางลูกอินพร ซึ่งเป็นปู่และย่าของตนถึงแก่กรรมลง และมีการแต่งตั้ง น.ส.พูลสวัสดิ์ ตัณฑประภา ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของตนเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งต่อมา น.ส.พูลสวัสดิ์ ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคมะเร็งไขกระดูก เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2553 จากนั้น น.ส.เจนสุนันท์ ซึ่งเป็นบุตรของนายสุรพล และน.ส.เนตรนภา ถูกเหมาะ ซึ่งไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกันแต่อย่างใด เป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ตัว น.ส.เจนสุนันท์ก็มีศักดิ์เป็นหลานอากับ น.ส.พูลสวัสดิ์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2554 ในการขอเป็นผู้จัดการมรดกโดยการนำเอกสารการทำพินัยกรรมของ น.ส.พูลสวัสดิ์ที่มีชื่อ น.ส.เจนสุนันท์เป็นผู้รับมรดกแต่เพียงผู้เดียว ศาลเห็นควรอนุญาตเนื่องจากเห็นว่าผู้ร้องเป็นทายาทโดยชอบธรรม กระทั่งมีการโอนทรัพย์สินทุกอย่างเป็นชื่อของ น.ส.เจนสุนันท์
นายสมพล กล่าวต่อว่า นายสมพล ตนและพี่น้องทั้งหมด 7 คน ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน รวมถึงบุตรของขุนสิทธิ์ และ นางลูกอินพรที่เป็นทายาทโดยตรงที่จะได้รับมรดกอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่ยังมีชีวิตอยู่คือ นางสุภัทรา และ นางภรณ์ ตัณฑประภา จาก น.ส.พูลสวัสดิ์ อย่างชอบธรรม โดยบุคคลทั้งหมดพร้อมกับตนเพิ่งมาทราบเรื่องในภายหลังที่ น.ส.เจนสุนันท์มีการโอนมรดกทั้งหมดมาเป็นชื่อ น.ส.เจนสุนันท์แล้ว จึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่าในปี 2529 มีการปลอมแปลงสูติบัตรของ น.ส.เจนสุนันท์ ซึ่งออกให้โดยสำนักงานเขตพญาไท โดยมีการลบชื่อมารดาที่แท้จริงออก และนำชื่อของ น.ส.พูลสวัสดิ์ มาสวมเป็นมารดาแทน ทั้งที่ น.ส.พูลสวัสดิ์ เป็นโสด ไม่เคยแต่งงานมีสามีหรือมีบุตรแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังมีการปลอมแปลงทะเบียนบ้าน ที่ออกให้โดยสำนักงานเขตยานนาวา โดยแก้ไขขีดฆ่าชื่อมารดาตัวจริง และเขียนชื่อ น.ส.พูลสวัสดิ์ เป็นมารดาของ น.ส.เจนสุนันท์แทน และในส่วนของพินัยกรรมนั้นมีการจัดทำขึ้น ขณะที่ น.ส.พูลสวัสดิ์ เข้ารักษาอาการป่วยที่ รพ.สมิติเวช ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ระบุข้อความว่า "หาก น.ส.พูลสวัสดิ์ ถึงแก่กรรม ขอมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่ น.ส.เจนสุนันท์ บุตรของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และขอให้ น.ส.เจนสุนันท์ เป็นผู้จัดการมรดกด้วยนั้น" ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้ว น.ส.พูลสวัสดิ์ ไม่มีสามีและบุตรธิดาและไม่ได้มีการจดทะเบียนรับรอง น.ส.เจนสุนันท์เป็นบุตรบุญธรรม แต่ข้อความที่ระบุในพินัยกรรมกลับระบุว่าจะมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับบุตร ทำให้พินัยกรรมฉบับดังกล่าวผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นายสุรพล กล่าวต่ออีกว่า ในกรณีการที่ตนและเครือญาติมีความเคลือบแคลงสงสัยในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวว่าอาจจะเป็นการปลอมแปลงขึ้นมานั้น เพราะว่ามีแพทย์ที่รักษาตัว น.ส.พูลสวัสดิ์ ยืนยันว่าขณะที่ น.ส.พูลสวัสดิ์เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวชนั้น น.ส.พูลสวัสดิ์ใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาและไม่น่าจะมีสติสัมปชัญญะพอที่จะสามารถลงชื่อในพินัยกรรมดังกล่าวได้
ด้าน พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องไว้ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป