MGR Online - “ดีเอสไอ” ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษครั้งที่ 1/2559 มีมติรับความผิดคดีอาญา 3 เรื่อง บุกรุกป่าเกาะคาน้อยและที่ดินรัฐ-บ.เอกชนผลิตปิโตรเลียมผิดกฎหมาย-หลอกชาวมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ซาอุฯ
วันนี้ (10 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 1/2559 โดยมี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรงยุติธรรม นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ และผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมซึ่งใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง
พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวภายหลังการประชุมว่า สำหรับผลการประชุมในวันนี้มีหลายประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ 1. คณะกรรมการได้พิจารณาออกประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2559 เรื่องกำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยกำหนดว่าคดีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน กฎหมายป่าไม้ กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ที่มีพฤติการณ์กระทำความผิดซับซ้อน กระทบต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงประเทศ มีผู้ทรงอิทธิพลเกี่ยวข้อง หรือมีฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้อง ตามเงื่อนไขที่กำหนดในมาตรา 21 ของพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ในข้อหาใดบ้างต้องดำเนินการโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากนี้จะนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป ซึ่งหลังจากนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษจะมีอำนาจดำเนินคดีจำพวกนี้ได้โดยไม่ต้องมาขออนุมัติคณะกรรมการคดีพิเศษเป็นรายคดีอีก
พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวอีกว่า 2. มีมติให้คดีความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษที่ต้องดำเนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 จำนวน 3 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 กรณีการบุกรุกป่าและที่ดินของรัฐด้วยการออกเอกสารสิทธิในที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายบริเวณเกาะนาคาน้อย อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ และจำเป็นต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีความซับซ้อนในการสืบสวนสอบสวน จึงมีมติรับไว้เป็นคดีพิเศษ
“เรื่องที่ 2 กรณีบริษัทเอกชนดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในพื้นที่จ.เพชรบูรณ์ ช่วงปี พ.ศ. 2553-2557 อันเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียม เรื่องนี้ประชาชนใน อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ร้องเรียนเข้ามา และได้ลงไปสืบสวนแล้วพบประเด็นเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันในพื้นที่ ส.ป.ก.ซึ่งจะต้องไปสืบสวนสอบสวนว่าตามกฎหมายกระทำได้หรือไม่ โดยคณะกรรมการเห็นว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะอาจเกี่ยวกับภาษีค่าภาคหลวงที่เป็นรายได้ของประเทศ จึงมติรับไว้เป็นคดีพิเศษ และเรื่องที่ 3 กรณีกล่าวหาว่ามีกลุ่มบุคคลมีพฤติการณ์หลอกลวงชาวมุสลิมว่าสามารถประสานการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ประเทศซาอุดีอาระเบียโดยมิชอบด้วยกฎหมาย” พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าว
พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวอีกว่า เรื่องนี้เป็นการอ้างความเชื่อทางศาสนาอิสลาม ไปหลอกลวงประชาชนมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่ามีโควตาสำหรับเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ประเทศซาอุดีอาระเบียสำหรับมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งตามปกติจะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 180,000 บาท แต่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องการประสานงานคนละ 15,000 บาท โดยมีประชนชนพี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลงเชื่อ ทราบจำนวนในเบื้องต้นกว่า 500 ราย คณะกรรมการเห็นว่าเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงมติรับไว้เป็นคดีพิเศษ