MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษากลับ จำคุก “จตุพร พรหมพันธุ์” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และประธาน นปช. 6 เดือน รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 5 หมื่น ปราศัย หมิ่น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี คดีตีตนเสมอเจ้า
วันนี้ (2 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณา 905 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมิ่นประมาท หมายเลขดำที่ อ.404/2552 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และประธาน นปช. เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2552 เวลากลางวัน จำเลยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนบริเวณที่ทำการพรรคเพื่อไทย มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ทำนองว่าโจทก์ไม่ถวายความเคารพองค์พระมหากษัตริย์ ในขณะเข้าเฝ้าฯ ประชาชนคนไทยต้องพึงปฏิบัติ และโจทก์ทำตัวตีเสมอพระเจ้าแผ่นดิน การกระทำของโจทก์กระทบกระเทือนความรู้สึกของคนไทยทั่วประเทศ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วยจำเลยให้การปฏิเสธ เหตุเกิดที่แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2557 โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 พิพากษาจำคุก 6 เดือน ปรับ 5 หมื่นบาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาลงในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี-ผู้จัดการรายวัน และหนังสือพิมพ์มติชน เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน
นายจตุพรยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของนายจตุพรไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท อุทธรณ์ จำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง& ต่อมานายอภิสิทธิ์ โจทก์ ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า ได้ความจากโจทก์ว่าในการเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานในพระราชวังนั้น ฝ่ายสำนักราชเลขาธิการสำนักพระราชวังเป็นผู้กำหนดลำดับพิธีการ และในอดีตก็มีนายกรัฐมนตรีหลายคนที่เข้าเฝ้าฯ ในลักษณะเช่นเดียวกับโจทก์มาแล้ว รวมถึงนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่จำเลยเคยเป็น ส.ส.สังกัดอยู่
ศาลเห็นว่า แม้จำเลยจะอ้างว่าไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนอื่นถวายรายงานในลักษณะดังกล่าว รวมถึงไม่เคยเห็นภาพนายสมัคร สุนทรเวช ถวายรายงานในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่เคยรับรู้เรื่องมีการเข้าเฝ้าฯ ถวายงานในลักษณะเช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่การติชมด้วยความเป็นธรรม ถ้อยคำใส่ความโจทก์ให้ประชาชนเข้าใจว่าโจทก์ไม่แสดงความเคารพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น จำคุก 6 เดือนปรับ 5 หมื่นบาท โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี และให้ลงคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน
นายจตุพรกล่าวว่า ศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้อง แต่ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษซึ่งเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาเช่นนี้ตนก็น้อมรับไปปฏิบัติ
นายจตุพรยังกล่าวถึงกรณีพระพุทธะอิสระโพสต์ข้อความและภาพระบุว่ามีชายฉกรรจ์เป็นผู้ขนอาวุธเข้าไปในวัดและอ้างว่ามีบุคคลเป็นการ์ดเสื้อแดงชูสามนิ้วในวัดพระธรรมกาย ซึ่งดีเอสไอมีความกระตือรือร้นจนผิดสังเกต โดยตนได้สั่งให้นายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ด นปช.เช็กรายชื่อในทะเบียนประวัติกลับพบว่าบุคคลที่มีชื่อและนามสกุลนี้มีอยู่ 2 คน แต่มีอายุ 60 ปีแล้วทั้งสิ้น จึงไม่ใช่ชื่อและเป็นบุคคลเดียวกันตามทะเบียนประวัติ และกำลังจะตรวจสอบว่าเขาทำหน้าที่อะไร แต่ว่าเหตุการณ์ที่มีภาพปรากฏชู 3 นิ้วในวัดจะด้วยเหตุอะไรก็ตามก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร
นายจตุพรกล่าวต่อว่า ที่แปลกใจคือพระพุทธะอิสระสัมภาษณ์ว่าได้ส่งคนของตัวเองเข้าไปในวัดพระธรรมกายซึ่งพวกตนมีบทเรียนเรื่องการงมอาวุธที่สระน้ำวัดปทุมฯ มาแล้ว จึงอยากเตือนวัดพระธรรมกายด้วยความห่วงใยว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องคดีความที่ทางดีเอสไอตั้งข้อกล่าวหาอยู่ในขณะนี้ แต่เรื่องที่ใหญ่ที่สุดคือการสร้างสถานการณ์ เพราะการประโคมข่าวโดยไม่ได้มีภาพใดที่บอกว่าชายฉกรรจ์ถือกระเป่าใบใหญ่เป็นคนเสื้อแดงหรือการ์ดเสื้อแดงไปในวัดพระธรรมกายซึ่งเรื่องเหล่านั้นเป็นความเท็จ ตนนั้นไม่ได้เป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย แต่ก็เห็นว่าวิธีการปฏิบัติต่อวัดพระธรรมกายนั้นเป็นการปฏิบัติที่เกินไป เพราะว่าคดีนี้เพียงแค่แจ้งข้อกล่าวหาจะแจ้งที่ใดก็ได้ และถ้าเราดูเจตนาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าในคดีนี้ เงินทำบุญนั้นก็มีเส้นทางชัดเจน และเมื่อศิษย์เค้ารู้ว่าเป็นเงินมีปัญหาก็มีการรวบรวมทยอยใช้คืน คนที่มีปัญหาคดีนี้ก็ไปบริจาคยังที่อื่นๆ ด้วย แต่ดีเอสไอไม่เลือกที่จะปฏิบัติอย่างเดียวกันกับวัดพระธรรมกาย เรื่องคดีความเชื่อว่าไม่น่าห่วงใย เพราะมีการฟ้องแพ่งและทางวัดก็แสดงเจตนาและมีการชดใช้ไปแล้ว เพราะว่าในหลักการทำบุญไม่มีคนรู้เป็นเงินบาปหรือเงินบุญ แต่เมื่อรู้ว่าเป็นเงินบาปก็นำไปคืน แต่ที่น่ากลัวคือการสร้างสถานการณ์เรื่องความรุนแรงและอาวุธซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นที่วัดพระธรรมกาย ทางวัดจึงต้องระมัดระวัง