MGR Online - ภรรยาแกนนำป่าชุมชนชัยภูมิ ร้องตำรวจกองปราบปราม สางคดีสามีประธานชุมชนหายตัวไร้ร่องรอย หลังพิพาทกับ จนท. ป่าไม้ เผยพบกองกระดูกถูกเผาใกล้หน่วยพิทักษ์ป่า
วันนี้ (11 พ.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 16.30 น. นางสุภาพ คำแหล้ อายุ 60 ปี ภรรยาของ นายเด่น คำแหล้ หรือ พ่อเด่น อายุ 65 ปี ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ แกนนำต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดินทำกิน พร้อมด้วยเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.วัฒนา วารีศรี รอง สว. (สอบสวน) กก.3 บก.ป. เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนกรณีการหายตัวไป อย่างมีเงื่อนงำของ นายเด่น ระหว่างเข้าป่าเพื่อหาหน่อไม้และหวาย ที่สวนป่าโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา
นางสุภาพ กล่าวว่า หลังจากที่ตนทราบว่า สามีหายตัวไป 2 วัน ก็ได้เข้าแจ้งความคนหายไว้ที่ สภ.ห้วยยาง จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 18 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ตั้งข้อสังเกตของการหายตัวไปของสามีไว้ 4 ประเด็น คือ 1. เดินหลงป่า 2. สัตว์ป่าทำร้าย 3. เป็นลม และ 4. โดนคนทำร้าย ก่อนที่ตนกับชาวบ้านจำนวน 10 คน จะออกกันตามหาในพื้นที่สวนป่าโคกยางและริมลำน้ำพรมในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 เมษายน ตน และชาวบ้าน ได้พบท่อนไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับการใช้หามศพ และมีคราบเลือดติดอยู่ จึงนำท่อนไม้ดังกล่าวส่งให้ตำรวจ สภ.ห้วยยาง ไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้น วันที่ 6 พฤษภาคม ได้พบรอยกองไฟขนาดใหญ่ 4 กอง ใกล้กับหน่วยพิทักษ์ป่าหนองไรไก่ และบริเวณลำน้ำพรมใกล้กันพบชิ้นส่วนกระดูก ก่อนที่จะนำมามอบให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เพื่อนำไปตรวจสอบว่าเป็นกระดูกมนุษย์ หรือกระดูกสัตว์
นางสุภาพ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่า การหายตัวไปของนายเด่นเป็นการถูกอุ้มหาย เพราะนายเด่นไม่เคยมีปัญหากับใคร มีเพียงการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดินทำกิน เนื่องจากกรณีเมื่อปี 2521 มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้สั่งให้ชาวบ้านในชุมชนโคกยางทั้งหมดอพยพออกจากพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า พื้นที่ตรงนี้จะใช้ปลูกต้นยูคาลิปตัส และให้ไปอยู่ที่บ้านทุ่งลุยลายแต่ชาวบ้านทุ่งลุยลายไม่ยอมให้พวกตนอาศัย ตนและชาวบ้านทั้งหมดจึงอพยพกลับมายังชุมชนโคกยาวอีกครั้ง จนมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มีการแจ้งความดำเนินคดีกัน โดยตนกับสามีถูกศาลพิพากษาจำคุก คนละ 6 เดือน ไม่รอลงอาญา และต่อมาสามีของตนก็เป็นคนเรียกร้องด้านความยุติธรรมการขอที่ดินทำกินมาตลอด กระทั่งมาหายตัวไปอย่างปริศนาในครั้งนี้
ด้าน ร.ต.อ.วัฒนา กล่าวว่า เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนจะสอบปากคำผู้เสียหายโดยละเอียดและรับเรื่องไว้ ก่อนที่จะเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
สำหรับกรณีพื้นที่พิพาทดังกล่าว ถูกประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม เมื่อปี 2516 ต่อมามีโครงการปลูกสวนป่าโคกยาว ทดแทนพื้นที่สัมปทาน ด้วยการนำไม้ยูคาลิปตัสมาปลูกในพื้นที่เมื่อปี 2528 ซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และกองกำลังทหารพราน ได้อพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ทำกินเดิม โดยสัญญาว่าจะจัดสรรที่ดินแห่งใหม่ให้รายละ 15 ไร่ เมื่อชาวบ้านบางส่วนออกจากพื้นที่ เพื่อเตรียมการจะเข้ามาอยู่ตามพื้นที่จัดสรร กลับปรากฏว่าเป็นที่ดินผืนนั้นมีเจ้าของเป็นผู้ครอบครองอยู่แล้ว
การเรียกร้องต่อสู้ของชาวบ้านจึงเริ่มแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ท้ายที่สุดกลับต้องตกเป็นจำเลยเป็นกรณีพิพาทที่ดินสวนป่าโคกยาว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตามมติ ครม. ปี 2553 เห็นชอบให้ชาวบ้านสามารถเข้าทำประโยชน์ในสวนป่าได้โดยไม่มีการข่มขู่ กักขัง และดำเนินคดีในช่วงที่กำลังมีการแก้ไขปัญหา แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยังคงประสบปัญหาถูกคุกคามและจับกุมอยู่สืบเนื่องเรื่อยมา
ต่อมาเมื่อเช้ามืดของวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เจ้าหน้าที่นำโดย เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองสนธิกำลังของป่าไม้ ตำรวจ ประมาณ 200 นาย เข้ามาในพื้นที่พิพาทที่ดินสวนป่าโคกยาว เขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ และจับกุมชาวบ้านรวม 10 ราย โดยต่อมามีการฟ้องรองคดีกับชาวบ้านโดยเจ้าหน้าที่ป้องรักษาป่าที่ ชย.4 คอนสาร เป็นโจทก์ โดยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555 ศาลพิพากษา จำคุก นายเด่น คำแหล้ และ นางสุภาพ คำแหล้ 6 เดือน ไม่รอลงอาญา