MGR Online - จากกรณีหญิงสาวที่ใช้ชื่อว่า “นู๋ อุ้ม จอ แบน” โพสต์ในเพจ YouLike (คลิปเด็ด) เหตุการณ์ถูกชายขับแท็กซี่กระชากลากถูหน้าแมนชั่น ย่านรามอินทรา ขณะจะเข้าไปหยิบเงินจ่ายค่าโดยสารที่ค้างไว้ ด้านโชเฟอร์โร่พบตำรวจ อ้างเพียงแค่จะทวงค่าโดยสาร 20 บาท ที่จ่ายไม่ครบเท่านั้น เบื้องต้นยังไม่แจ้งข้อหา ขอรวมหลักฐานเอาผิดได้หรือไม่
จากกรณีเพจ YouLike (คลิปเด็ด) เปิดเผยเหตุการณ์ของกลางดึกวันที่ 8 พ.ค. เวลาประมาณ 03.00 น. เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของ วีวีเอส แมนชั่น ซึ่งอยู่ย่านมีนบุรี ปรากฏภาพเหตุการณ์ชายแต่งกายคล้ายคนขับรถแท็กซี่ กำลังยื้อยุดฉุดกระชากผู้หญิงคนหนึ่ง โดยหญิงสาวที่อยู่ในคลิปใช้ชื่อเฟซบุ๊ก ว่า “นู๋ อุ้ม จอ แบน” ระบุเหตุการณ์ว่าตนเพียงแค่จะเข้าห้องไปเอาเงินค่าโดยสารที่ขาดไป 20 บาท แต่กลับถูกคนขับรถแท็กซี่ตามเข้ามาในแมนชั่น พร้อมพยายามฉุดให้ขึ้นไปบนรถ แต่ตนพยายามหนีและร้องให้คนช่วยจนรอดมาได้ ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของคนขับแท็กซี่เป็นจำนวนมาก
ความคืบหน้าวันนี้ (11พ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ร.ต.ท.ฉัตรพล เผ่นโผน รองสารวัตร (สอบสวน) สน.มีนบุรี กล่าวว่า เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นจริง โดย น.ส.อรทัย สุขบัณฑิตย์ อายุ 24 ปี ผู้เสียหาย มาลงบันทึกประจำวันไว้เมื่อวันที่ 8 พ.ค. เวลาประมาณ 06.00 น. พร้อมให้การว่า ตนโดยสารแท็กซี่คันดังกล่าวมาจากบางเขน มาตามถนนรามอินทราเมื่อมาถึงแมนชั่นดังกล่าว ตนและคนขับแท็กซี่มีปัญหากันเรื่องค่าโดยสาร ก่อนจะถูกทำร้ายร่างกาย หลังจากนั้น ตนจึงออกเอกสารส่งตัวไปตรวจร่างกายเพื่อมาประกอบสำนวนคดี และนัดมาให้ปากคำในวันที่ 13 พ.ค. อีกครั้ง
ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ชูพันธุ์รอง ผกก.ป.สน.มีนบุรี ร.ต.อ.วัชรพล ควพุนพิน รอง สว.ป. เข้ามาตรวจสอบที่วีวีเอส แมนชั่น เลขที่ 5/3 ซ.รามอินทรา 115 แยก 5 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กทม. พร้อมสอบถามเบื้องต้นกับ น.ส.อรทัย
น.ส.อรทัย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ค. เวลาประมาณ 02.00 น. ตนกลับจากบ้านเพื่อนในซอยรามอินทรา 19 ได้เรียกแท็กซี่สีเขียวเหลืองคันเกิดเหตุ ให้ไปส่งที่พักภายในซอยรามอินทรา 115 โดยตนนั่งที่นั่งด้านหลังเยื้องกับคนขับ พร้อมด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าอีก 1 ใบ ตลอดเส้นทางไม่ได้มีการพูดคุยแต่อย่างใด ส่วนตัวคนขับแท็กซี่ไม่ได้แสดงอาการอะไร เมื่อถึงบริเวณหน้าแมนชั่น มิเตอร์ขึ้นราคาโดยสาร 220 บาท แต่ตนมีเงิน 200 บาท จึงบอกแท็กซี่ให้รอก่อนจะไปเอาเงินจากห้องพักมาให้ พร้อมกับทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้าเอาไว้ในรถ เพราะเป็นหลักประกันว่าจะกลับมา แต่เมื่อตนหยิบเงินจะเอามาให้ กลับไม่เห็นคนขับแท็กซี่ภายในรถ จึงเปิดประตูหลังและเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า ปรากฏว่า แท็กซี่คนดังกล่าวได้พุ่งมาด้านหลัง และกดหัวให้เข้าไปในตัวรถ แต่ตนได้ใช้เท้าถีบจนสะบัดหลุดมาได้ แล้วเข้ามาในแมนชั่น โชเฟอร์แท็กซี่คันดังกล่าวก็ยังตามมาฉุดกระชากตน โดยไม่ได้มีการบอกว่าต้องการอะไร ขณะนั้นตนก็ได้ตะโกนเรียกให้คนช่วย พร้อมกับบอกว่ามีกล้องวงจรปิดติดอยู่ จนแม่บ้านของแมนชั่น และผู้ที่เช่าห้องตื่นออกมาเห็นเหตุการณ์หลายคน คนขับแท็กซี่จึงยอมปล่อย และอ้างว่า ตนยังให้เงินไม่ครบ ตนจึงบอกว่าให้นับดูให้ดีก่อน หลังจากนั้น คนขับแท็กซี่คันดังกล่าวจึงนับเงินแบบรีบ ๆ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถและขับรถออกไป ตนจึงได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.มีนบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ตนไปตรวจร่างกาย แต่ตนมีเงินไม่พอ จึงยังไม่ได้ไปตรวจ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (12 พ.ค.) ตนจะไปตรวจร่างกายให้เรียบร้อย หลังจากนั้น จะเข้าไปให้ปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.ชัยรพ พานิชย์อัตรา ผบก.น.3 พร้อมด้วย พ.ต.อ.กัญชล อินทราราม ผกก.สน.มีนบุรี พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ชูพันธุ์ รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.หญิง ดรุณี ประเสริฐ รอง ผกก.สส. ร่วมกันสอบปากคำ นายสุรชา เจนจับ อายุ 49 ปี คนขับรถแท็กซี่คันดังกล่าว และ น.ส.อรทัย เข้ามาชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังมีกระแสข่าวออกไปในทางลบต่อคนขับรถแท็กซี่ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้
นายสุรชา กล่าวว่า ตนรับ น.ส.อรทัย มาจากปากซอยรามอินทรา 19 เพื่อมาส่งยังซอยรามอินทรา 115 เมื่อถึงที่หมายมิเตอร์แจ้งค่าโดยสาร 220 บาท น.ส.อรทัย กลับบอกว่า เงินขาดอีก 20 บาท จะเข้าไปเอาเงินในห้องแล้วจะวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ในรถก่อนจะเดินเข้าแมนชั่นไป ตนจึงเดินไปปัสสาวะ แต่ขณะที่กำลังทำธุระอยู่นั้น เห็น น.ส.อรทัย เดินกลับมาที่รถแล้วหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองออกไป ตนคิดว่า น.ส.อรทัย กำลังจะหนี จึงวิ่งไปดึงแขนไว้ แต่ น.ส.อรทัย กลับวิ่งหนีเข้าไปในแมนชั่นและร้องให้คนช่วย ตนจึงทวงค่าโดยสาร น.ส.อรทัย จึงยื่นธนบัตร 50 บาทหนึ่งใบ 20 บาทหนึ่งใบ และเหรียญอีกกำมือหนึ่งมาให้ ตนเห็นว่า เริ่มมีคนออกมาดูกลัวว่าจะเข้าใจผิด จึงรีบขับรถออกไป หลังจากมีกระแสข่าวออกไปตนไม่สบายใจอย่างมาก จึงเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
พล.ต.ต.ชัยพร กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งของแมนชั่น และกล้องของ กทม. ที่เกิดเหตุเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องรอการสอบบุคคลทั้ง 2 และพยานแวดล้อมด้วย เพราะยังมีคำให้การบางอย่างไม่ตรงกัน และผู้เสียหายเป็นผู้หญิงยืนยันจะเอาเรื่อง ทั้งนี้ ยังไม่ได้มีการแจ้งความใด ๆ เพราะต้องดูหลักฐานทั้งหมดก่อนว่ามีหลักฐานเพียงพอในการแจ้งความหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่จะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน