MGR Online - ดีเอสไอ ยันมีหลักฐานเอาผิด “ธัมมชโย” ฐานฟอกเงิน - รับของโจร ไม่หนักใจศาลยกคำร้องขอออกหมายจับ เหตุไม่มีพฤติการณ์หลบหนี เตรียมประชุมออกหมายเรียกครั้งที่ 3 ภายใน 15 วัน ทนายขู่ฟ้องกลับ อ้างกลั่นแกล้งให้ได้รับโทษ
จากกรณีพนักงานสอนสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกหมายเรียกพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในฐานะผู้ต้องหาคดีสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร หลังมีชื่อเป็นผู้รับเช็คจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ในวันที่ 25 เม.ย. 2559 แต่ นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากพระธัมมชโย ได้ยื่นหนังสือขอเลื่อนการมาพบพนักงานสอบสวน โดยให้สาเหตุว่า ปฏิบัติศาสนกิจจนเกิดอาการอาพาธ ก่อน ดีเอสไอ มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขออนุมัติออกหมายจับพระธัมมชโย มาดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (26 เม.ย.) เวลา 15.00 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าว ว่า การออกหมายจับ พระธัมมชโย ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วงได้ แล้วแต่ศาลพิจารณาก็ต้องดำเนินการตามนั้น
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวอีกว่า ส่วนการนำภาพเก่ามาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ตนได้เห็นแล้ว ซึ่งมันเป็นภาพตอนไปสอบพยานกัน ภายในวัดพระธรรมกาย เมื่อปี 2558 และได้ดูอาการเจ็บป่วยของท่าน ทั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวนเองก็มีหลักฐานพอสมควรว่าในช่วงที่ผ่านมา ท่านก็สามารถประกอบศาสนกิจได้ตลอด ส่วนแพทย์ผู้รักษา พระธัมมชโย ที่ออกมาชี้แจงก็ถือว่ามีสิทธิ์เช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางแพทย์ผู้รักษา บอกว่า อยากให้ ดีเอสไอ ไปตรวจอาการ พระธัมมชโย ที่วัดพระธรรมกาย เนื่องจากป่วยหนักจริง ๆ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ขณะนี้กระบวนการดำเนินมาถึงศาลแล้ว รอฟังก่อนว่าศาลมีคำสั่งว่าอย่างไร อีกทั้งพนักงานสอบสวนยังคงดำเนินการตรวจสอบกลุ่มผู้รับเช็คทั้งหมด 7 กลุ่ม จำนวน 878 ฉบับ โดยผู้รับเช็คมีหลายกลุ่ม และยังดำเนินการทุกกลุ่ม แต่ข้อหาต้องดูพฤติการณ์ว่าเป็นอย่างไร ส่วน นางศศิธร โชคประสิทธิ์ ที่มีชื่อสลักอยู่หลังเช็ค อยู่ระหว่างดำเนินการออกหมายจับ โดยทางการสืบสวนทราบว่าได้เดินทางออกนอกประเทศแล้ว
ต่อมามีรายงานว่า ศาลอาญาได้ยกคำร้องขอออกหมายจับพระธัมมชโย เนื่องจากเห็นว่า ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี โดย พ.ต.ท.โทปกรณ์ สุชีวะกุล ผู้บัญชาการสำนักคดีสถาบันการเงินและการธนาคาร ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เปิดเผยว่าไม่หนักใจ ที่ทางศาลยกเลิกคำร้อง เพราะเป็นดุลพินิจของศาล ซึ่งตนเองและพนักงานสอบสวนจะกลับไปประชุมพิจารณานัดวันรับทราบข้อกล่าวหาอีกครั้ง โดยให้กลับไปพิจารณาออกหมายเรียก ครั้งที่ 3 ภายใน 15 วัน แต่จะเป็นไปตามที่ทางทีมทนายของวัดพระธรรมกาย ร้องขอให้เป็นวันที่ 10 พ.ค. หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้
ขณะที่ นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความวัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า เนื่องจากไม่ได้เข้าไปในห้องพิจารณา จึงไม่ทราบว่ามีการพูดคุยถึงเรื่องใดบ้าง และดีเอสไอ ไม่ได้แจ้งผลการพิจารณายื่นคำร้อง หลังจากนี้ จะต้องรอดูท่าทีของดีเอสไอ ว่า จะมีการประสานมาทางวัดหรือไม่ ในการเรียกพระธัมมชโยเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาครั้งที่ 3 แต่ทางทีมทนายได้มีการพูดคุยว่าอาจจะมีการฟ้องกลับไปยังดีเอสไอ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 วรรค 2 ฐานกลั่นแกล้งให้ได้รับโทษ หรือบังคับให้ได้รับโทษ
จนเวลา 16.00 น. ศาลอาญาได้มีคำสั่งยกคำร้องขอออกหมายจับของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ
ซึ่งภายหลังที่ศาลยกคำร้อง พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผบ.สำนักคดี การเงินการธนาคาร และพนักงานสอบสวนดีเอสไอ กล่าวว่าศาลยกคำร้องขอออกหมายจับเนื่องจากศาลให้เหตุผลว่าผู้ต้องหายังไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี ซึ่งทางดีเอสไอต้องกลับไปประชุมคณะทำงานไม่เกิน 2 วันนี้ เพื่อออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพื่อให้มารับทราบก็กล่าวหา ภายในเวลา 15 วัน เพื่อดำเนินการต่อไป
นายสัมพันธ์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ศาลอาญาได้แจ้งให้ตนและทีมทนายความว่าภายในวันนี้จะยังไม่มีการไต่สวนคำร้องขอออกหมายจับ และสามารถเดินทางกลับบ้านได้เลยจึงเชื่อว่าในวันนี้ศาลยังไม่มีการออกหมายจับแต่อย่างใด ส่วนหลังจากครบกำหนด15วันที่ได้เคยยื่นขอเลื่อนนัดพนักงานสอบสวนไว้นั้น พระธัมมชโยจะสามารถเข้าพบพนักงานสอบสวนได้หรือไม่นั้น ต้องขอดูอาการป่วยของหลวงพ่อก่อน ซึ่งเรื่องนี้ทางพนักงานสอบสวนจะต้องมีการประสานมาเพื่อตกลงกำหนดในเรื่องนี้กันอีกที ส่วนเรื่องที่จะมีการฟ้องกลับพนักงานสอบสวนหรือไม่นั้น ยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องนี้แต่ยอมรับว่าทีมทนายความมีการพุดคุยกันในเรื่องนี้ และถ้าหากจะมีการพิจารณาฟ้องจริงจะไม่ใช่การฟ้องในความผิดฐานปฎิบัติหน้าที่ แต่จะเป็นการฟ้องในฐานที่เป็นเจ้าพนักงานของกระบวนการยุติธรรมและกลั่นแกล้งให้ถูกดำเนินคดีซึ่งมีอัตตราโทษที่หนักกว่า