MGR Online - ศาลอาญา สั่งจำคุก 10 ปี อดีตดาบตำรวจสืบสวน สน.ดอนเมือง จับเหยื่อนักธุรกิจชาวกัมพูชาเชื้อชาติจีนเรียกค่าไถ่ 16 ล้านบาท
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีจับตัวนักธุรกิจเรียกค่าไถ่ หมายเลขดำ อ.465/58 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นาย หรือ ด.ต.ศุภณัฏฐ์ ชูชัยปัญญาพงศ์ อายุ 47 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ สส. สน.ดอนเมือง เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันเรียกค่าไถ่ฯ ตามฟ้อง โจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 57 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันกระทำผิด โดยขณะที่ นายเฉิน จื่อ นักธุรกิจสัญชาติจีน เชื้อชาติกัมพูชา ผู้เสียหาย เดินเข้าไปภายในโรงแรมใบหยก 2 จำเลยกับพวกอีก 1 คน ได้เข้ามาแจ้งกับผู้เสียหาย โดยอ้างว่า ผู้เสียหายถูกหมายจับจากประเทศจีน จากนั้นก็เข้าช่วยกันล็อกแขนผู้เสียหาย พาขึ้นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ทะเบียน ฌฎ 1867 กรุงเทพมหานคร
นำตัวไปหน่วงเหนี่ยวกักขังตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วโทรศัพท์ติดต่อญาติขอเงินค่าไถ่จำนวน 100 ล้านบาท เพื่อแลกกับอิสรภาพของผู้เสียหาย โดยมีการเจรจาต่อรองจำนวนเงินหลายครั้งสุดท้ายทางญาติยอมที่จะให้เงินแก่จำเลยจำนวน 16 ล้านบาท และนัดส่งมอบเงินสดกันบริเวณลานจอดรถ สโมสร กองทัพบก ถ.วิภาวดี แต่จำเลยก็ไม่ยอมมารับเงิน จากนั้นจำเลยได้พาผู้เสียหายไปปล่อยทิ้งไว้บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ฝั่งประเทศกัมพูชา เหตุเพราะสื่อมวลชนเสนอข่าวคดีนี้อย่างครึกโครม จนจำเลยกับพวกหวาดกลัวจะถูกจับกุม เหตุเกิดแขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน
อย่างไรก็ตาม ต่อมาวันที่ 22 พ.ย. 57 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมจำเลยพียงคนเดียว แจ้งข้อหาดำเนินคดี ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหาย และประจักษ์พยานหลายปากซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่โรงแรม และ รปภ. โรงแรมใบหยก 2 ล้วนเบิกความสอดคล้อง เชื่อมโยง เป็นลำดับขั้นตอนโดยปราศจากพิรุธ สามารถชี้ตัวจำเลยได้อย่างถูกต้อง ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า ช่วงวันเกิดเหตุจำเลยกับบิดา และภรรยา ได้พามารดาจำเลยไปพบแพทย์ที่ รพ.นพรัตน์ราชธานี ถ.รามอินทรา นั้น แต่ก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยกับญาติเคยให้ปากคำเกี่ยวกับเรื่องนี้กับพนักงานสอบสวน สน.พญาไท แต่อย่างใด ซึ่งล้วนเป็นพิรุธ เพราะความจริงแล้วญาติของจำเลยเบิกความเช่นนี้ ก็เพราะต้องการช่วยเหลือจำเลยให้พ้นความผิด พยานหลักฐานจำเลยที่นำสืบมาไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้เห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเอาตัวบุคคลอายุกว่า 15 ปี ไปโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย อุบายหลอกลวง ใช้อำนาจครอบงำผิดครองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก อันเป็นบทหนักสุด จำคุกจำเลยไว้ 10 ปี