ตำรวจ สน.ดุสิต คุมตัว “เสี่ยบิ๊ก” ประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ ขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก คดีฉ้อโกงและใช้ตั๋วเงินปลอมกู้เงิน ชพค. ศาลอนุญาตฝากขัง ด้านทนายความเตรียมหลักทรัพย์ขอประดันตัวไม่ทัน รอยื่น 10 ล้าน พรุ่งนี้ ราชทัณฑ์นำตัวคุมขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไว้ก่อน
วันนี้ (19 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.บรรยง แดงมั่นคง พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ได้ควบคุมตัว นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา เสี่ยบิ๊ก อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20/3 ซ.สุขุมวิท 89/1 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม. นักธุรกิจและประธานบริหารสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกง ปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม มาฝากขังครั้งแรก เป็นระยะเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 19 - 30 ม.ค. 59 เนื่องจากการสืบสวนสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ จะต้องสอบพยานบุคคลอีก 20 ปาก และรอผลการตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา ทั้งนี้ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2556 เวลากลางวัน ณ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด โดย นายมงคล เยี่ยงศุภพานนท์ และ นายสิทธินันท์ หลอมทอง กรรมการผู้มีอำนาจลงนามได้ทำหนังสือถึงประธานกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ชพค. ขอเชิญชวนซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน บ.บิลเลี่ยนฯ ในวงเงิน 2,100,000,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 56 เวลากลางวัน กองทุน ชพค. โดย นายเกษม กลั่นยิ่ง ได้ลงนามร่วมลงทุนกับ บ.บิลเลี่ยนฯ โดย นายมงคล เยี่ยงศุภพานนท์ และ นายสิทธินันท์ หลอมทอง กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม เป็นผู้แทนจำนวน 2 ใน 5 คนซึ่งมีอำนาจลงชื่อผูกพัน บ.บิลเลี่ยนฯ และประทับตราสำคัญของ บ.บิลเลี่ยนฯ และมี นายสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทร่วมลงนามในฐานะพยาน และทำหน้าที่ประสานการดำเนินการดังกล่าว
กองทุน ชพค. ได้ตกลงซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของ บ.บิลเลี่ยนฯ โดยมีธนาคารเป็นผู้อาวัลในวงเงิน 2,100,000,000 บาท โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 27 ธ.ค. 56 และตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกมีกำหนดระยะเวลา 1 ปี 1 วัน นับแต่วันที่มีการออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว โดยจะครบกำหนดวันใช้เงินคืน ในวันที่ 28 ธ.ค. 57 ต่อมาวันที่ 27 ธ.ค. 56 กองทุน ชพค. ได้โอนเงินจำนวน 2,100,000,000 บาท และค่าธรรมเนียมอีก 250 บาท ที่ ธ.ธนชาต จำกัด (มหาชน) สาขา สี่แยกเฉลิมบุรี (เยาวราช) เข้าบัญชีของ บ.บิลเลี่ยนฯ ตามบัญชีของ ธ.กสิกรไทย จำกัด สาขา หลานหลวง จากนั้น บ.บิลเลี่ยนฯ จึงได้ส่งมอบตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 2,100,000,000 บาท ให้กับกองทุน ชพค. แต่เมื่อกองทุน ชพค. ตรวจสอบแล้วพบว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวยังไม่มีธนาคารอาวัลจึงได้พยายามติดตามทวงถามให้ บ.บิลเลี่ยนฯ ดำเนินการให้มีการอาวัลอย่างต่อเนื่อง แต่ทาง บ.บิลเลี่ยนฯ ก็ไม่สามารถจัดหาธนาคารมาอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินได้
ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 57 บ.บิลเลี่ยนฯ ได้แจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่สามารถหาธนาคารมาอาวัลได้ จึงได้หาหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ บ.บิลเลี่ยนฯ จำนวน 49 ฉบับ พร้อมเอกสารประกอบการโอนมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันตั๋วสัญญาใช้เงิน และยังได้สั่งจ่ายเช็คของ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) สาขาสำนักลุมพินี เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 57 จำนวน 2,100,000,000 บาท จำนวน 1 ฉบับ สั่งจ่ายกองทุน ชพค. เพื่อชำระล่วงหน้าตามสัญญาร่วมลงทุน ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 57 บ.บิลเลี่ยนฯ ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ขอเปลี่ยนแปลงธนาคารผู้ออกดราฟต์ หรือใบสั่งจ่ายเป็นของ ธ.ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงกิ้ง คอปอร์เรชั่น (HSBC) สั่งจ่ายเงินจำนวน 100,000,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3,200,000,000 บาท ) โดยระบุว่า คณะกรรมการ สกสค. เป็นผู้รับเงินสามารถเบิกจ่ายเงินได้ตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. 57 นอกจากนี้ บ.บิลเลี่ยนฯ ยังเชิญชวนให้ คณะกรรมการ สกสค. เพิ่มวงเงินจาก 2,100,000,000 บาท เป็น 3,000,000,000 บาท ทางคณะกรรมการบริหารกองทุน ชพค. พิจารณาเห็นว่าจำนวนเงินที่นำมาค้ำประกันมีมูลค่าสูง 3,200,000,000 บาท จึงมีมติอนุมัติให้ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มอีก 400,000,000 บาท และได้มีการโอนเงินเข้าบัญชี บ.บิลเลี่ยนฯ เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 57
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 58 นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. ได้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนดังกล่าว ซึ่งมี นายเกษม กลั่นยิ่ง เป็นประธานคณะกรรมการบริหารกองทุน และ นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการ สกสค. ขณะนั้นเป็นรองประธานได้มาตรวจสอบพบการดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบของกองทุนดังกล่าว ในเรื่องการดำเนินการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งไม่ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุน ครั้งที่ 15/2556 และ ครั้งที่ 9/2557 อันเป็นการไม่ชอบด้วยข้อบังคับ ข้อ 6 แห่งข้อบังคับคณะกรรมการ สกสค. ว่าด้วยการมอบอำนาจของเลขาธิการในการทำนิติกรรมกับบุคคลภายนอก พ.ศ. 2553 และไม่ชอบตามข้อ 9(5) แห่งข้อบังคับคณะกรรมการ สกสค. ว่าด้วยการเงิน การบัญชี ทรัพย์สิน และการงบประมาณ พ.ศ. 2557 โดย นายพินิจศักดิ์ ได้ทำหนังสือตรวจสอบไปยัง ธ.ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงกิ้ง คอปอร์เรชั่น (HSBC) สาขาประจำประเทศไทย และธนาคารได้แจ้งเป็นหนังสือว่า ตั๋วแลกเงินที่สั่งจ่าย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นของปลอม และไม่ได้ออกโดย ธ.ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงกิ้ง คอปอร์เรชั่น (HSBC) สำนักงานใหญ่ ตามที่ระบุไว้แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 58 คณะกรรมการ สกสค. ได้นำเช็คของ ธ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่สั่งจ่ายชำระหนี้ล่วงหน้า และถึงกำหนดเรียกเก็บเงินได้แล้วไปเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของกองทุนฯ เพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็ค ปรากฏว่า ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน “ด้วยเหตุผลว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย” เป็นเหตุให้กองทุนฯ และสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวง และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี บ.บิลเลี่ยนฯ กับพวกในข้อหาร่วมกันปลอมตั๋วเงิน และใช้ตั๋วเงินปลอม, ร่วมกันฉ้อโกง และร่วมกันออกเช็ค เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับใช้ตามกฎหมายโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธการใช้เงินตามเช็ค ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.83,266 (4), 268, 341 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 59 เวลา 23.20 น. พนักงานสอบสวนได้จับกุมตัวนายสัมฤทธิ์ หรือ เสี่ยบิ๊ก พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมาย
คำร้องพนักงานสอบสวนยังได้ขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีที่มีโทษสูงเกิน 5 ปี และมีมูลค่าความเสียหายสูง เกรงว่า หากผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว จะไปยุ่งเหยิง หรือทำลายพยานหลักฐาน เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นตัวการสำคัญในคดีนี้ อีกทั้งผู้ต้องหาอาจจะหลบหนีออกนอกประเทศได้ เนื่องจากแนวทางการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหามีธุรกิจและเครือข่ายอยู่ในต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังตามคำร้อง
ด้าน นายธราเทพ ยติกุลเกษม ทนายความ กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่า นายสัมฤทธิ์ ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และอยากจะขอร้องสื่อมวลชนช่วยบอกไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ช่วยดูแลคดีนี้ด้วย เพราะว่าสังคมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ อีกทั้ง นายสัมฤทธิ์ถูกข่มขู่ แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด ส่วนเรื่องการประกันตัวจะยื่นประกันตัวในวันพรุ่งนี้ (20 ม.ค. 59) โดยเบื้องต้นจะใช้หลักทรัพย์มูลค่าสิบล้านบาทขอประกันตัว ทั้งนี้ นายสัมฤทธิ์ ถูกควบคุมตัว ย่อมส่งผลกระทบต่อสโมสรเพื่อนตำรวจ เพราะสโมสรตำรวจเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในไทยพรีเมียร์ลีก
ต่อมา เมื่อเวลา 17.30 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวนายสัมฤทธิ์ ผู้ต้องหาขึ้นรถไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ