xs
xsm
sm
md
lg

นำตัวอดีตลูกพรรค “บรรหาร” พร้อมพวกสั่งฟ้องเพิ่มคดีแชร์ “ยูฟัน”(มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


 
MGR Online - ปคม.นำสำนวนพร้อม “ศิริโชค สิริวรรณภา” อดีตสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา กับพวกผู้ต้องหาอีก 17 คนให้อธิบดีอัยการคดีอาญา สั่งคดีแชร์ “ยูฟัน” หลังฟ้องไปแล้ว 30 ราย ขณะที่อัยการให้ประกันตัว ก่อนนัดสั่งคดีอีกครั้ง


ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (23 ธ.ค.) พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และคณะพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) นำนายศิริโชค สิริวรรณภา อดีตสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา กับพวกรวม 17 คน ผู้ต้องหาคดีแชร์ลูกโซ่บริษัท ยูฟัน สโตร์ จำกัด พร้อมสำนวนการสอบสวนและความเห็นสมควรสั่งฟ้องข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 5 และ 12 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี ปรับตั้งแต่ 500,000-1 ล้านบาท และฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4-15 ปี ปรับตั้งแต่ 80,000-300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาอื่น ส่งให้นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เพื่อสั่งคดี ซึ่งก่อนหน้านี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาแล้ว 30 คน

ภายหลังส่งมอบสำนวน พล.ต.ท.สุวิระ ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า ตำรวจมั่นใจในหลักฐาน รวมทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร และวัตถุพยาน จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 17 คนนี้ยังให้การเหมือนเดิมทำนองว่าเป็นผู้ชักชวนบุคคลอื่นมาร่วมลงทุนจริง นอกจากนี้ ตำรวจยังมีข้อมูลอีกว่ากลุ่มผู้ต้องหาที่หลบหนีอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้เริ่มก่อตั้งบริษัทในลักษณะเดียวกับบริษัท ยูฟัน ที่ประเทศเพื่อนบ้านด้วย จึงขอส่งสัญญาณให้ประเทศเพื่อนบ้านว่าตำรวจไทยกำลังดำเนินคดีเรื่องนี้อยู่ ขณะที่ผู้ต้องหาซึ่งกำลังหลบหนีอยู่ต่างประเทศนั้น ทางตำรวจได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ชัดเจนแล้ว 27 รายซึ่งเป็นผู้ต้องหารายใหญ่ในขบวนการ และได้ประสานข้อมูลให้อัยการเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนในการขอส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดี โดยผู้ต้องหากลุ่มนี้ตำรวจจะไม่ให้ประกันตัว เพราะถือว่าไม่ได้เข้ามอบตัวเอง สำหรับคดีแชร์ลูกโซ่ยูฟันนี้มีผู้ต้องหาถูกออกหมายจับทั้งหมด 164 คน ในจำนวนนี้เป็นนิติบุคคล 4 ราย ส่วนตัวบุคคลจับกุมได้แล้ว 94 คน และยังมีผู้ต้องหาหลบหนี 66 คน

พล.ต.ท.สุวิระยังกล่าวอีกว่า ในการดำเนินคดีนี้พบว่าผู้ต้องหาบางคนให้ข้อมูลว่ามีกลุ่มบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถช่วยเหลือทางคดีทั้งในชั้นตำรวจ อัยการ และศาล จึงมีผู้หลงเชื่อและสูญเงินหลายล้านบาทให้กับบุคคลเหล่านั้น ขณะนี้ตำรวจมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้อ้างตัวแล้ว และอยู่ระหว่างรอให้ผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดี

“ฝากเตือนผู้ต้องหาและญาติว่าอย่าหลงเชื่อ หากพบผู้แอบอ้างก็ให้แจ้งความดำเนินคดีทันที ขอยืนยันตำรวจดำเนินคดีอย่างโปร่งใส และเป็นธรรม ไม่มีใครเรียกรับเงินแน่นอน เพราะได้พิสูจน์แล้วว่าการส่งฟ้องผู้ต้องหา 17 คนนี้ไม่มีตำรวจคนใดเรียกรับเงิน ผมมั่นใจกระบวนยุติธรรมและอัยการ” พล.ต.ท.สุวิระกล่าวย้ำ

ด้านนายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา กล่าวภายหลังรับมอบสำนวนว่า จะส่งสำนวนหลักฐานทั้งหมดให้อัยการสำนักงานคดีอาญา 9 เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยในสำนวน และเนื่องจากคดีมีการกล่าวหาการกระทำที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรด้วย จึงเป็นอำนาจของ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัรฑ์บริภาร อัยการสูงสุด จะพิจารณาชี้ขาดในสั่งคดีตามกฎหมาย หากอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 ก็จะนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 17 คนส่งฟ้องศาลอาญา ในชั้นนี้อัยการจะอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 17 คนก่อน แล้วจะกำหนดนัดให้มารายงานตัวเพื่อฟังคำสั่งคดีอีกครั้ง

“ยืนยันในชั้นอัยการไม่มีอัยการคนใดวิ่งเต้นคดีอย่างแน่นอน ทำงานตามเนื้อผ้า และให้ความเป็นธรรมตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนทุกส่วน ผมมีชื่อเสียงพอสมควร ตามประวัติผมไม่มีวิ่งเต้น ถ้ามีการแอบอ้างจริง ทางอัยการจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดไม่มีการละเว้น ดังนั้นหากมีใครมาแอบอ้างก็อย่าไปเสียเงินให้” อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากล่าว

ขณะที่นายจริวัฒน์ แสนกล้า หนึ่งในผู้ต้องหาได้เปิดเผยว่า ระหว่างที่ตนยังไม่ทราบว่าจะถูกออกหมายจับ หรือดำเนินคดีอะไร ก็มีคนหลายกลุ่มอ้างว่าเป็นอัยการและมีสายสัมพันธ์ในกระบวนการยุติธรรมสามารถช่วยวิ่งเต้นเรื่องหมายจับและการประกันตัวได้ โดยให้เราทยอยจ่ายเงินก่อนอ้างว่าเป็นค่าวิ่งเต้น ส่วนตัวเสียเงินไป 2.5 ล้านบาท แต่เมื่อระยะผ่านไปแล้วสอบถามกลุ่มคนเหล่านี้ที่ติดต่อผ่านคนกลางก็ไม่สามารถช่วยได้ และจากการพูดคุยกับผู้ต้องหารายอื่นก็ทราบว่าถูกหลอกลักษณะเดียวกันแต่เหมือนเป็นคนละกลุ่มกัน ซึ่งผู้ต้องหาหลายรายก็เสียเงินเป็นค่าวิ่งเต้นไปหลายล้านบาท รวมกันแล้วคาดว่ามูลค่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 ล้านบาท หลังจากนี้ตนคิดว่าจะไปแจ้งความดำเนินคดี เพราะมีพยานบุคคลที่เห็นว่าเรานำเงินไปให้กลุ่มที่แอบอ้าง และมีการทำสัญญาที่อ้างว่าจ้างให้กลุ่มผู้แอบอ้างนั้นเป็นทนายความ

 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น