ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไกล่เกลี่ยสำเร็จ คดีนักเรียนชั้น ม.2 ไปทัศนศึกษา จ.กาญจนบุรี พลัดตกรถไฟพิการขาซ้ายขาด ฟ้องเรียกค่าเสียหาย สนง.คณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานยินยอมจ่ายค่าสินไหมทดแทน 6.2 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้เสียหาย
ที่ห้องประชุมสัตตภาคพิจารณ์ ชั้น 6 อาคารศาลแขวงพระนครเหนือ ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (14 ธ.ค.) นายอนันต์ วงษ์ประภารัตน์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 นายวิเชียร แสงเจริญถาวร ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 นายพยอม วงษ์พูล ผู้อำนวยการสำนักเขตพื้นที่การศึกษามัธยม เขต 42 ตัวแทน สพฐ.ร่วมกันแถลงข่าวการไกล่เกลี่ยของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ ด.ช.น้ำ (นามสมมติ) นักเรียนชั้น ม.6 และ น.ส.วาริน (นามสมมติ) มารดา ผู้แทนโดยชอบธรรม เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กระทรวงศึกษาธิการเป็นจำเลยที่ 1 และสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นจำเลยที่ 2 คดีละเมิดเรียกค่าเสียหายจำนวน 5,524,950 บาท
นายอนันต์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2555 ทางโรงเรียนบ้านไร่วิทยา ต.บ้านบึง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ได้พานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 ประมาณ 250 คนไปทัศนศึกษาที่น้ำตกไทรโยคน้อย จ.กาญจนบุรี เดินทางด้วยรถไฟและได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง แต่ระหว่างที่อยู่ในขบวนรถไฟ ด.ช.น้ำ (นามสมมติ) ได้เดินไปเข้าห้องสุขา ระหว่างเดินรถไฟเกิดแกว่งและมีแรงเหวี่ยงทำให้ ด.ช.น้ำเสียหลักพลัดตกจากขบวนรถไฟได้รับบาดเจ็บและถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และแพทย์วินิจฉัยว่ามีบาดแผลฉีกขาดขนาดใหญ่ที่ขาซ้าย โดยกระดูกขาซ้ายสองชิ้นแตกหักจำเป็นต้องตัดขาซ้ายท่อนล่างออกเพื่อทำการปลูกถ่ายผิวหนังและต้องใส่ขาเทียมไปตลอดชีวิต
ขณะที่นายสิทธิศักดิ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ กล่าวต่อว่า คดีนี้ศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้สืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2557 ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 623,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันฟ้องวันที่ 24 ธ.ค. 2555 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 9 ก.พ. 2558 จำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ส่วนโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินค่าเสียหายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเห็นสมควรให้นำคดีเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย และเจ้าหน้าที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยฯ ได้โทรศัพท์แจ้งให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ย ซึ่งคู่ความต่างก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะไกล่เกลี่ยได้เพราะเห็นว่าเป็นคดีที่มีหน่วยงานเป็นราชการเป็นจำเลยคงไกล่เกลี่ยไม่ได้ แต่ผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบงานไกล่เกลี่ย ได้ขอให้มาเจรจากันก่อนเพราะอาจมีหนทางตกลงกันได้ จึงได้มีการไกล่เกลี่ยทั้งหมด 3 นัด โดยนัดที่ 3 เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2558 ปรากฏว่าคดีสามารถตกลงกันได้ โดยจำเลยที่ 2 ยินยอมชำระค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและได้ทำสัญญาประนีประนอมในวันเดียวกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2558 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังโดยผ่านระบบสื่อสารทางไกลจอภาพจากศาลอุทธรณ์ภาค 7 กรุงเทพมหานครไปยังศาลจังหวัดกาญจนบุรี ระบุคดีนี้ข้อพิพาทได้ยุติลงในศาลชั้นอุทธรณ์ด้วยวิธีการไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความกันด้วยความสมัครใจและคู่ความพึงพอใจในค่าเสียหายที่เรียกร้อง
ด้าน น.ส.วาริน (นามสมมติ) มารดาของผู้เสียหาย กล่าวว่า ตอนนี้ร่างกายของลูกชายยังมีการการเจริญเติบโตอยู่ จึงทำให้ต้องผ่าตัดกระดูกที่ยื่นออกมาจนกว่าจะอายุครบ 20 ปี ซึ่งลูกชายได้เข้ารับการผ่าตัดแล้ว 1 ครั้งเมื่อตอนอายุ 16 ปี และขณะนี้ได้ใส่ขาเทียมอยู่ตลอด ส่วนการใช้ชีวิตในประจำวันก็ปกติดี ภายหลังเกิดเหตุก็ได้รับความช่วยเหลือจากทางโรงเรียนมาโดยตลอด