MGR Online - ศุลกากรสมุยร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ส.และตำรวจปราบยาเสพติดจับกุมหนุ่มชาวรัสเซีย หลังตรวจสอบกระเป๋าเดินทางที่ตกค้างของสายการบินซิลค์แอร์ พบของกลางเป็นโคเคนน้ำหนัก 6,500 กรัม มูลค่า 26 ล้าน
วันนี้ (16 พ.ย. 58) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมอนุมานราชธน กรมศุลกากร นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงแถลงข่าวด่านศุลกากรเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จับกุมนายเลเลคอฟ เซอร์ไก (Mr.lelekov Sergei) อายุ 24 ปี ชาวรัสเซีย ลักลอบนำโคเคนน้ำหนักรวมประมาณ 6,500 กรัม มูลค่า 26 ล้านบาท
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ด่านศุลกากรสมุย สำนักงานศุลกากรภาคที่ 1 สำนักงานสืบสวนและปราบปราม, สำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด เกาะสมุย นำโดยนายมานิตย์ วงศ์แสนประเสริฐ หัวหน้าฝ่ายควบคุมและตรวจสอบทางศุลกากร ร่วมกันตรวจสอบสัมภาระของผู้โดยสารที่ตกค้าง จำนวน 2 ใบ ที่ทางเจ้าหน้าที่สายการบินซิลค์แอร์ได้นำกระเป๋าดังกล่าวมาให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบ ก่อนส่งมอบให้ผู้โดยสารตามสถานที่นัดหมายบริเวณ Samui Driving Resort
จากการตรวจสอบกระเป๋าด้วยเครื่องเอกซเรย์พบว่ามีวัตถุแปลกปลอมอยู่บริเวณผนังของกระเป๋าชนิดล้อลากสีดำ เจ้าหน้าที่จึงประสานไปยังสายการบินให้แจ้งเจ้าของมารับกระเป๋าดังกล่าว กระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. นานเลเลคอฟเดินทางมายังที่ทำการศุลกากรสมุย พร้อมแสดงตนเป็นเจ้าของกระเป๋าซึ่งได้แจ้งหายไว้เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะเดินทางมาจากประเทศสิงคโปร์ด้วยเที่ยวบิน MI 772
ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบหลักฐานการแจ้งหายและหนังสือเดินทาง พบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงให้นายเลเลคอฟเปิดกระเป๋าเพื่อทำการตรวจสอบ โดยภายในกระเป๋ามีเสื้อเชิ้ต 3 ตัว ส่วนด้านผนังของกระเป๋ามีความหนาผิดปกติ เมื่อดึงผนังออกมาพบห่อพลาสติกใสพันด้วยเทปสีน้ำตาล และมีกระดาษคาร์บอนติดอยู่ด้านข้าง ภายในบรรจุผงสีขาว จำนวน 5 ห่อจึงนำผงดังกล่าวไปตรวจสอบพบว่าเป็นผงโคเคน
เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหามียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน หรือโคเคน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเพื่อดำเนินคดี ทั้งนี้ นายเลเลคอฟยังไม่ได้ให้การรับสารภาพแต่อย่างใด โดยอ้างว่ามีอาชีพเป็นวิศวกรการบิน เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ทางเจ้าหน้าที่จึงดำเนินการประสานไปยังสถานทูตรัสเซียในประเทศไทยให้เข้ามาร่วมดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และหาข้อเท็จจริงต่อไป