ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกว่าเป็น “ลูกต่อเนื่อง” ตามมาก็อาจมองแบบนั้นก็ได้สำหรับคำสั่งกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นแม่งานใหญ่ ซึ่งเริ่มดีเดย์ลงนามกันอย่างเป็นทางการกันไปแล้ว
ขณะเดียวกัน ในทางปฏิบัติมอบหมายให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมมือกันเป็นฝ่ายดำเนินการ โดยมีคำสั่งปฏิบัติการกวาดล้างดังกล่าวให้เห็นผลภายใน 6 เดือน
“ทำไมต้องมีคณะกรรมการชุดดังกล่าว ในเมื่อหน้าที่ของทุกคนก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่ให้ทุกคนไปเข้มงวดในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ต้องถึงกับไปทำเป็นบัญชีดำ บัญชีแดงอะไรขึ้นมา ในทุกพื้นที่ก็สามารถตรวจค้น จับกุมทั้งเรื่องอาวุธสงครามก็มีการทำหน้าที่กันอยู่แล้ว เดี๋ยวก็จะมากล่าวหากันอีกว่าใช้มาตรการนอกกฎหมายอีก ไม่ทำ เพราะกฎหมายมีอยู่แล้ว มีการตรวจค้นจับกุมในพื้นที่ไหนก็ไปว่ากันตามขั้นตอน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่รับผิดชอบ วันเดียวกันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ก็ได้สั่งการไปแล้ว ทำให้ชัดเจนกันมากขึ้น ทั้ง คสช. และตำรวจต้องร่วมมือกัน ในการสืบจับแต่ละพื้นที่ก็ต้องมีการข่าวกันอยู่แล้ว ต้องหาข้อมูลได้ โดยเฉพาะคนที่ทำความผิด”
เมื่อถามว่า มีสิ่งบอกเหตุอะไร ทำไมจึงตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ใช่อยู่ดี ๆ เพียงแต่ผมเห็นว่ามีการใช้อาวุธสงคราม อาวุธปืนยิงแม้กระทั่งลูกหนี้ ผมทนไม่ได้ อยู่ดี ๆ ก็เอาปืนมายิงคนเล่น ยิงเข้าบ้านคน ขนาดรัฐบาลนี้ยังเป็นอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ผมต้องคำนึงถึงมากกว่าอย่างอื่น ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปไล่ล่าใคร หรือไปไล่ล่าฝ่ายการเมือง อย่าไปเอามาพันกัน เรื่องนี้ถือเป็นกฎหมายปกติมันจะต้องไม่มีอาชญากรรม การใช้อาวุธสงคราม ช่วงที่ผ่านมายังมีการใช้อาวุธสงครามยิงคนตายอยู่ แสดงว่ามีการลักลอบรั่วไหลในเรื่องอาวุธสงครามก็ต้องจับกุมให้ได้”
คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังกล่าวแม้ว่าจะพยายามทำให้เป็น “ปฏิบัติการตามปกติ” ตามกฎหมาย เพื่อลดข้อกล่าวหาเรื่องการใช้อำนาจ แต่สำหรับในบรรยากาศสถานการณ์ “พิเศษ” แบบนี้ และยิ่งมีฝ่ายทหารเข้ามาร่วมในการดำเนินการกับฝ่ายตำรวจทุกอย่างจึงคาดว่าน่าจะออกมาในแบบ “เข้ม” ผิดปกติแน่นอน
แน่นอนว่าปฏิบัติการแบบนี้หากมองในแง่ของการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลที่มักควบคู่กันกับสิ่งผิดกฎหมาย ย่อมต้องเกี่ยวเนื่องไปถึงการทลายอิทธิพลทางการเมืองและผลประโยชน์ด้านมืดในท้องถิ่นแบบช่วยไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกันมาจนแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลเถื่อน การเมืองท้องถิ่น การเมืองท้องถิ่น จนมาถึงการเมืองระดับชาติ ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้มาช้านานเป็นหนึ่งในคราบของประชาธิปไตยเลือกตั้ง
เมื่อมันเกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก ในความหมายที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง เมื่อกวาดล้างอิทธิพลท้องถิ่น มันก็ย่อมมีลูกต่อเนื่องไปถึงเครือข่ายการเมืองกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม นั่นคือ ฝ่ายที่ทำผิดกฎหมายก็จะถูกกำหราบปราบปราม ขณะที่พวกที่เคยทำผิดหรือกำลังจะทำผิดก็ย่อมต้องชงักหรือหยุดเคลื่อนไหวเอาไว้ชั่วคราวก่อน หรืออย่างน้อยก็ต้องมี “รายการเคลียร์” กันให้เข้าใจกันบ้างละ
ดังนั้น มันช่วยไม่ได้ที่มีบางคนมองไปในเชิงการเมืองว่านี่อาจเป็นการ “บล็อก” เครือข่ายการเมืองในช่วงที่กำลังนัดแนะกันใส่เสื้อแดงมาให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯในวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่กำลังโดนคดีหนัก ๆ เสี่ยงคุกเสี่ยงถูกยึดทรัพย์ล้มละลายจากคดีอาญาและแพ่งในโครงการรับจำนำข้าวก็อาจมองแบบนั้นได้ เพราะอย่างที่บอก ก็คือ อิทธิพลท้องถิ่นกับมวลชนท้องถิ่นมันแยกกันไม่ออก จะให้เกี่ยวหรือไม่ให้เกี่ยวข้องกันก็ได้ทั้งนั้น
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งการใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลแบบนี้มันก็ “ได้ใจชาวบ้าน” เหมือนกัน ที่สำคัญ ต้องเอาจริงทำให้เห็นผล มีการแสดงของกลางให้เห็นเป็นกอบเป็นกำ ต้องเล่นงานทั้งหมดแบบไม่ต้องลูบหน้าปะจมูก หรือฉวยโอกาสเลือกเล่นงานเฉพาะอีกฝ่าย หากทำได้เชื่อว่างานแบบนี้แม้ว่าจะถูกมองใน “แบบบ้าน ๆ” แต่ก็ได่เสียงปรบมือดังลั่นทุกที ซึ่งที่ผ่านมาจะว่าไปแล้ว ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยโปรโมตตีปี๊บมาให้เห็นในเรื่อง “สงครามปราบยาเสพติด” แต่คราวนั้นมันมั่ว แต่ก็ยังได้คะแนน
ดังนั้น แผนปฏิบัติการกวาดล้างผู้มีอิทธิพล กวาดล้างอาวุธสงคราม สิ่งผิดกฎหมายทุกชนิดทั่วประเทศคราวนี้ของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติมองในมุมการเมืองก็ถือว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว” เพราะมีทั้งปราบปราม มีทั้งการสกัด ทั้งบล็อกไม่ให้ขยับ ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็น่าจะได้ใจชาวบ้าน แต่สำคัญต้องอย่าเลือกปฏิบัติ หากทำได้มั่นคงกว่านี้อีก !!
