ASTV ผู้จัดการ - บช.ปส.แถลงจับเครือข่ายยาเสพติด 3 คดีมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 1 แสนเม็ด ไอซ์ 3 กิโลกรัม เผยมามุกใหม่ซ่อนในหม้อแปลงไฟฟ้าดัดแปลงขึ้นเอง แถมเส้นทางลำเลียงเดินทางอ้อมโลกจากบราซิลไปเอธิโอเปียแล้วค่อยวกเข้าไทย
วันนี้ (7 ต.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.ต.ศุภกิจ ศรีจันทรนนท์ รรท.ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ไชยยา รุจจนเวท ผบก.ปส.2 บช.ปส. ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมกลุ่มค้ายาเสพติดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 111,000 เม็ด ไอซ์น้ำหนักรวมประมาณ 3 กิโลกรัม โคคาอีนน้ำหนักประมาณ 4,569 กรัม อาวุธปืนพกสั้น 1 กระบอก โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง รถยนต์ 2 คัน
พล.ต.ต.ศุภกิจกล่าวว่า การจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดในครั้งนี้แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่มีเคสที่น่าสนใจในคดีที่นายเวียเชสลาฟ คีเลบคา ถูกจับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีวิธีการที่หลบเลี่ยงการตรวจสอบจับกุมของเจ้าหน้าที่ด้วยการนำโคคาอีนซุกซ่อนในหม้อแปลงไฟฟ้าที่ดัดแปลงขึ้น พบเส้นทางการเดินทางเข้าประเทศอย่างน่าสงสัย โดยได้เดินทางมาจากเซาเปาโล ประเทศบราซิล เข้าประเทศเอธิโอเปีย ทวีปแอฟริกา ก่อนจะเข้ามาที่ประเทศไทย โดยให้นายเวียเชสลาฟ คีเลบคา มีลักษณะคล้ายนักท่องเที่ยว เป็นผู้ขนยาเสพติดมาเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ จากเดิมที่ผู้ขนยาเสพติดที่ถูกเจ้าหน้าที่จับตามองที่เดินทางมาจากแถบแอฟริกาจะเป็นกลุ่มคนผิวสี นายเวียเชสลาฟ คีเลบคาจะได้รับค่าจ้างในการขนยาเสพติดเมื่อกลับไปถึงประเทศปลายทางจำนวน 2,000 ดอลลาร์
คดีแรก สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 6 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ด่านตรวจยานพาหนะสีคิ้ว บก.ปส.2 บช.ปส.ได้ร่วมจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญ ผู้ต้องหา 5 คน คือ นายสมชาย ยิ้มละมัย อายุ 52 ปี ชาว จ.กำแพงเพชร, นายสุบิน พรมคำติ๊บ อายุ 59 ปี ชาว จ.ขอนแก่น, นายถาวร สีหาราช อายุ 40 ปี ชาวลาว, นายเกรียงไกร อุทัยแสน อายุ 24 ปี ชาว จ.หนองคาย และนายภูริวัจน์ จันทร์โสภา อายุ 24 ปี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) จำนวน 40,000 เม็ด ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาไอซ์) จำนวน 3 กิโลกรัม รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีเทา ทะเบียน ญณ 5428 กทม. และโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง สามารถจับกุมได้ที่อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.ปส.2 สืบทราบว่ามีกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดตามแนวชายแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาจำหน่ายในเขตจังหวัดตอนในและกรุงเทพฯ จึงได้ทำการล่อซื้อยาบ้าจำนวน 40,000 เม็ด และยาไอซ์ จำนวน 3 กก.จากผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย จากนั้นได้นำผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า, สารไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 5 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นปส.สุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3 ได้จับกุมนายเวียเชสลาฟ คีเลบคา (VIACHESLAV KHLIBKA) สัญชาติยูเครน อายุ 20 ปี หนังสือเดินทางหมายเลข FB287714 พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 (โคคาอีน) น้ำหนักประมาณ 4,569 กรัม แท็บเล็ตสีขาว 1 เครื่อง กล่องพลาสติกใส 1 ใบ หม้อแปลงไฟฟ้าพร้อมกล่อง 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ นปส.สุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3 ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีชายชาวยูเครน เดินทางมากับสายการบิน ETHIOPIAN AIRLINES เที่ยวบินที่ ET618 ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 13.00 น. วันที่ 5 ตุลาคม เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันวางแผนการปฏิบัติเพื่อตรวจค้นและจับกุม ต่อมาเจ้าหน้าที่พบชายมีลักษณะรูปร่างตรงกับที่สายลับแจ้งจึงได้สะกดรอยตามเพื่อรอดูพฤติกรรม จนกระทั่งนายเวียเชสลาฟ คีเลบคา เดินทางผ่านช่องตรวจหนังสือเดินทางและไปรับกระเป๋าเดินทางที่สายพานลำเลียงกระเป๋า จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวขอตรวจค้นกระเป๋า พบว่ามีวัตถุต้องสงสัยซุกซ่อนอยู่ในหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีการดัดแปลงขึ้น โดยนำกล่องพลาสติกใสจำนวน 1 กล่องมาบรรจุวัตถุลักษณะเป็นผงสีขาวบรรจุถุงพลาสติกใสอยู่ด้านในพันทับด้วยเทปกาวกระดาษฟลอยด์ และขดลวดทองแดงตามลำดับ เมื่อใช้มีดขูดวัตถุต้องสงสัยดังกล่าวออกมา ทดสอบด้วยน้ำยาทดสอบสารเสพติดพบว่าเป็นโคคาอีนน้ำหนักประมาณ 4,569 กรัม จึงนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป เบื้องต้นแจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนคดีที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 4 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กก.1 บก.ปส.4 บช.ปส.ได้ร่วมกันจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดจำนวน 1 ราย ผู้ต้องหา 2 คน คือ นายพงศ์พัฒน์ หรือเชิด ภาสุสะรางค์ อายุ 54 ปี ชาวลพบุรี และนายจตุภูมิ หรือตุ๊ก เครือแก้ว อายุ 36 ปี ชาวลพบุรี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 70,000 เม็ด อาวุธปืนพกสั้น 1 กระบอก ซองบรรจุกระสุนปืน 1 ซอง เครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 10 นัด โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบสวนหาข่าวจนทราบว่านายประมวล หรือต๋อย เครือแก้ว มีพฤติการณ์ค้ายาเสพติด และจะมีการเจรจาดูเงินกับกลุ่มผู้ค้าบริเวณร้านกาแฟภายในปั๊มน้ำมัน ปตท. ถ.พหลโยธิน ต.พุงแก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี จึงลงพื้นที่ไปสังเกตการณ์พบนายพงศ์พัฒน์ หรือเชิด ภาสุรสะรางค์ และนายจตุภูมิ หรือตุ๊ก เครือแก้ว มาดูเงินค่ายาบ้า เมื่อตรวจสอบเงินเรียบร้อยแล้วนายพงศ์พัฒน์ได้โทรศัพท์ไปแจ้งนายประมวล ก่อนนำยาบ้ามาส่งมอบให้ โดยนายประมวลได้นำยาบ้ามาส่งให้บริเวณฝั่งตรงข้ามปั๊มน้ำมันดังกล่าวก่อนส่งกระเป๋ายาบ้าให้แล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ตรวจสอบดูพบยาบ้าจำนวน 70,000 เม็ดภายในกระเป๋าดังกล่าว จึงจับกุมตัวนายจตุภูมิและนายพงศ์พัฒน์ก่อนไปตรวจค้นที่บ้านนายประมวลแต่ไม่พบตัว เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ต่อนายจตุภูมิ และนายพงศ์พัฒน์ ก่อนคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.4 และจะสืบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมกระทำผิดที่ยังหลบหนีอยู่มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป