xs
xsm
sm
md
lg

“กลิ่นตุๆ”ปืนตำรวจ3,640ล้าน เจ้านาย“ช่วยจริง”หรือ“ทิ้งทวน”!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับนายอมาโร กอนคาเวส (Mr.Amaro Goncalves) รองประธานบริษัท ซิกซาวเออร์ อิงก์ ในโครงการจัดหาอาวุธปืนพกสั้นเพื่อเป็นสวัสดิการข้าราชการตำรวจ จำนวน 152,468 กระบอก เมื่อวันที่ 25 กย.ที่ผ่านมา
เตือนตำรวจไทยอยากได้ปืน ตั้งสติก่อนจ่ายเงิน 23,890 บาทตามโครงการปืนสวัสดิการฯ แฉสัญญาเอาเปรียบสุดๆ คาดเม็ดเงินสะพัดเกือบ 4 พันล้านแต่ต้องรอ 3 ปี ดอกเบี้ยร้อยล้านเอาไปไหน แถมส่งมอบไม่ได้ทำแค่คืนเงินต้น “ผู้น้อย”ข้องใจ “เจ้านาย”ช่วยจริงหรือ “ทิ้งทวน”?

อาวุธปืนพกประจำตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดเพื่อปกป้องชีวิตตนเองและดูแลทรัพย์สินรวมทั้งความปลอดภัยของประชาชนแต่ไม่น่าเชื่อว่าทั้งในอดีตและปัจจุบันกรมตำรวจ หรือที่พัฒนาโครงสร้างมาเป็น “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”กลับปล่อยปละละเลยไม่เคยให้ความสำคัญต่อปัญหานี้เพราะอาวุธปืนพกของหลวง ที่มีให้ข้าราชการตำรวจเบิกไปใช้ปฏิบัติหน้าที่นั้นเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เก่าสนิมเขรอะ มีสภาพไม่ต่างกับเศษเหล็กจนไม่อาจไว้ใจว่าสามารถฝากชีวิตไว้กับสมิธฯ .38 รุ่นพระเจ้าเหาอันเป็นมรดกประจานความไม่เอาไหนของผู้บังคับบัญชาจากรุ่นต่อรุ่นได้เป็นอย่างดี

ล่าสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ผู้จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้เปิดโครงการจัดหาอาวุธปืนพกประจำกาย 9 ม.ม. ซิก ซาวเออร์ โมเดิล พี 320 เอสพี เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ และได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลในเรื่องภาษีสรรพากรทำให้ราคาจากกระบอกละ 7 หมื่นบาทลดเหลืองเพียง 23,890 บาท นับเป็นผลงานโบว์แดงที่สามารถจับต้องเป็นรูปธรรมได้และมีข้าราชการตำรวจจำนวนมากให้ความสนใจคาดว่ามียอดสั่งจองถึง 152,468 รายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,640 ล้านบาท

แต่หลังจากกระแสความเห่อปืนดีราคาถูกเริ่มจางลงเกิดมีคำถามต่างๆเกี่ยวกับปืนพกสวัสดิการขึ้นมามากมายเช่นเมื่อบริษัทฟิกซ์เทค จำกัด อันเป็นตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ทำหน้าที่ประสานกับบริษัทซิกซาวเออร์ ประเทศไทย โดยตรงได้เก็บเงินจำนวนมหาศาลนี้ไปแล้วจะบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยฃน์สูงสุด ไม่นำดอกผลที่จะเพิ่มพูนขึ้นทุกวันไปเข้าพกเข้าห่อใคร ข้อสงสัยต่อมาคือเป็นโครงการสวัสดิการ จริงหรือเพราะปกติรัฐจะต้องเป็นผู้สำรองจ่ายแล้วทะยอยหักเงินเดือนจากข้าราชการตำรวจเป็นงวดตามความเหมาะสม การเรียกเก็บเงินก่อนเต็มจำนวนก่อนโรงงานจะผลิตสินค้าให้นั้นไม่น่าจะถูกต้อง แถมระยะเวลานานถึง 3 ปีจึงอยากให้ข้าราชการตำรวจทุกนายที่มีความประสงค์จะเข้าโครงการควรคิดอย่างรอบครอบ

ข้อสังเกตประการต่อไปคือเงินจำนวนมากเกือบ 4 พันล้านบาทนั้นน่าแปลกใจที่ไม่มีองค์กร หรือสถาบันการเงินใดๆเข้ามาดูแลจัดการแม้แต่สหกรณ์ออมทรัพย์ของข้าราชการตำรวจทุกสหกรณ์ ทำให้เม็ดเงินทั้งหมดไหลไปสู่บริษัทเอกชน หรือใครก็ไม่รู้ ต่อมาคือสัญญาหมวดเงื่อนไขทั่วไปข้อ 6.3 ที่ระบุว่าในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัยใดๆเช่นผู้สั่งซื้อเสียชีวิต ลาออกจากราชการ ถูกไล่ออกหรือกลายเป็นบุคคลต้องห้ามตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ

หรือรัฐบาลประเทศสหรัฐฯไม่ออกใบอนุญาตให้ส่งออกอาวุธมายังประเทศไทย อันเป็นเหตุให้ผู้ซื้อและโรงงานผู้ผลิตไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯได้ ทั้งผู้ซื้อและโรงงานผู้ผลิตยินดีที่จะไม่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อกัน และโรงงานผู้ผลิตจะต้องคืนเงินค่าประกันการสั่งซื้ออาวุธปืนทั้งจำนวนให้แก่ผู้ซื้อหรือทายาทของผู้ซื้อหลังจากที่ทราบและได้ตรวจสอบถึงสาเหตุดังกล่าวเป็นที่ถูกต้องแล้ว...

สัญญาข้อสุดท้ายคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ใช่คู่สัญญา ดังนั้นทั้งพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ซึ่งเป็นอดีตผบ.ตร.ไปแล้วในตอนนั้นรวมทั้ง สตช.ต่าง “ลอยตัว”ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆแถมยังให้ตัวกลางคือบริษัทฟิกซ์เทค จำกัด เขียนสัญญาแบบมัดมือชก

อย่างไรก็ตามข้อสังเกตต่างๆที่แพร่อยู่ตามโลกโซเชียลฯนั้นมีทั้งข้าราชการตำรวจที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยจำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะมีผลต่อการตัดสินใจในขั้นตอนการชำระเงินซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 ต.ค. นี้ แต่สำหรับข้าราชการตำรวจที่ต้องการจริงๆและสามารถรอได้กลุ่มนี้ไม่มีปัญหา คาดว่ายอดสั่งจองกับการชำระเงินจริงอาจจะลดจำนวนลงบ้างแต่ไม่มากนัก

สำหรับ ระเบียบหรือขั้นตอนการชำระเงินสัญญามีรายละเอียดว่า...เมื่อผู้ซื้อแน่ใจแล้วว่าตนมีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ได้รับอนุมัติ ให้ผู้ซื้อกรอกข้อมูลที่ครบถ้วนลงในใบแจ้งการชำระเงินของธนาคารกรุงไทย ที่ได้รับจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนำใบแจ้งการชำระเงิน ไปชำระเงินค่าประกันการสั่งซื้ออาวุธปืนทั้งจำนวน ผ่านทางเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทยได้ทุกสาขา เนจำนวนเงิน 23,890 บาท และผู้ซื้อต้องชำระค่าธรรมเนียมธนาคารสำหรับการชำระเงินจำนวน 25 บาทที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย ให้ผู้สั่งซื้อทุกรายดำเนินการชำระเงิน ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. - 30 พ.ย.2558

จากกระแสดังกล่าวผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังตำรวจระดับต่างๆหลายนายมีทั้งชั้นประทวน และสัญญาบัตร ต่างมีความเห็นสอดคล้องกันว่าโครงการจัดหาอาวุธปืนพกขนาด 9 มม.ยี่ห้อซิกซาวเออร์ ฯนับเป็นเรื่องที่ดีแต่ยังไม่สามารถตอบโจทก์ที่ตำรวจทุกคนต้องการได้เพราะตามสภาพความเป็นจริงข้าราชการตำรวจต้องใช้เงินส่วนตัวใช้จ่าย หาเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆเองทั้งสิ้นเช่นอาวุธปืน วิทยุสื่อสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องแบบ หรือกระทั่งยานพาหนะ อย่าเชื่อว่าของหลวงมีให้ใช้อย่างพอเพียงตัวอย่างเช่นอาวุธปืนเรื่องเดียว ผู้บังคับบัญชาในระดับ ตร.ก็ตอบไม่ได้แล้ว ทุกยุคทุกสมัยหรือทุกรัฐบาลไม่เคยใส่ใจ ปืนหลวงมีจริงแต่ว่าตามตรงพกกระบองมีประโยชน์กว่า สภาพปืนหลวงปัจจุบันแทบเป็นเศษเหล็ก เกลียวปืนสึกเวลายิงกระสุนไม่มีแรงอัด นกสับหัก-สึกหมดสภาพไม่สามารถแทงชนวนลูกปืนได้ และแทบทุกกระบอกมีสนิมเขรอะเพราะขาดการดูแล

“ปืน .38 รุ่นนี้ถ้าเป็นของใหม่ใช้ได้ดีแต่กฎของการปะทะปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปแล้ว โจรมันไม่กลัวตำรวจ กระสุนเพียง 6 นัดและถ้าใช้ปืนหลวงยิงออกบ้างไม่ออกบ้างใครจะเสี่ยง แถมถ้าหายมีโทษถึงติดคุก ทุกคนจึงจำใจหาซื้อปืนพกกันเองเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ ส่วนที่ว่าทำไมต้องเป็นปืนแม็กกาซีนแบบ ลูกดก หรือบรรจุกระสุนได้เยอะๆก็เพราะตำรวจเราต้องการความมั่นใจ เชื่อไหมว่าตำรวจกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ยิงปืนเป็นแต่ไม่แม่น ก็เลยต้องให้มีกระสุนมากเข้าไว้ ชีวิตเราขืนรอให้หลวงมาช่วย หรือรอเครื่องไม้เครื่องมือดีๆคงชาติหน้า เผลอเราอาจตายก่อน ถ้าเป็นไปได้ รัฐบาลหรือ สตช.ควรสำรองจ่ายไปก่อนแล้วหักเงินเดือน มากบ้างน้อยบ้างตามความจำเป็น แบบนี้จึงจะพูดได้เต็มปากว่าเป็นสวัสดิการ”

ข้าราชการตำรวจระดับ ผกก.หัวหน้าสถานี อีกท่านหนึ่งแสดงความเห็นว่าถ้าผู้ใหญ่ใน สตช.ต้องการช่วยเหลือลูกน้องจริงๆน่าจะทำให้เป็นโครงการสวัสดิการเต็มตัวจริงๆคือสำรองจ่ายไปก่อนแล้วหักเงินเดือนทีหลัง เจ้านายรู้แก่ใจดีว่ารายได้ตำรวจมีเพียงเงินเดือนเท่านั้นส่วนส่วยต่างๆหมดไปแล้ว หรือมีก็น้อยเต็มที ใครกล้ารับก็ต้องเสี่ยงถูกย้ายหรือโดนไล่ออก

“ทหารเขาพัฒนากองทัพตลอดแต่ตำรวจแม้แต่ปืนพกยังต้องให้ลูกน้องหาซื้อเอง ส่วนตัวมองว่าโครงการนี้ไม่ใช่เรื่องช่วยเหลือแต่มีผลประโยชน์แอบแฝง เป็นการทิ้งทวน ของใครบางคน เช่นดอกเบี้ยส่วนต่าง 3 ปีเป็นเงินหลายสิบล้านถึงร้อยล้านไม่มีใครแจกแจงรายละเอียด ยังไม่รวมคอมมิชชั่นซึ่งต้องมีแน่นอนเพราะเม็ดเงินมันมากเกือบ 4 พันล้าน ไม่อย่างนั้นท่านต้องทำสวัสดิการหักเงินเดือน คือต้องการรวบรวมเป็นก้อนเพื่อเฉลี่ยแบ่งๆกัน นี่คือคำตอบว่าเหตุใดจึงต้องซื้อด้วยเงินสดไม่ใช้ระบบหักเงินเดือน”ผกก. กล่าวทิ้งท้ายกับทีมข่าวอาชญากรรม

อ่านข่าวเกี่ยวข้องประกอบ : “สมยศ” ลงนามร่วม บ.ซิกซาวเออร์ ซื้อปืนสวัสดิการตำรวจ 1.5 แสนกระบอก

กำลังโหลดความคิดเห็น