โบรกเกอร์สาวโร่พบกองปราบปราม ยอมรับมีความสัมพันธ์กับ “เสี่ยชูวงษ์” ได้รับหุ้นมาด้วยความเต็มใจแต่ไม่ถึง 40 ล้านบาท
วันนี้ (24 ก.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 09.00 น. น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล โบรกเกอร์ พร้อมด้วยนางศรีธนา พรหมา มารดา ผู้ที่รับโอนหุ้นจากนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ จำนวน 40 ล้านบาท และทนายความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ตามหมายเรียก โดยทั้งคู่แต่งกายมิดชิด สวมหมวก หน้ากากอนามัย และสวมแว่นตาดำ
น.ส.อุรชากล่าวว่า ตนเองเป็นโบรกเกอร์อยู่บริษัท AECS รู้จักกับนายชูวงษ์เพราะอยู่ในวงการหุ้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็นโบรกเกอร์ให้นายชูวงษ์ และยอมรับว่าได้รับการโอนหุ้นมาจริงในจำนวนไม่ถึง 40 ล้านบาท หุ้นจำนวนดังกล่าวนายชูวงษ์โอนมาให้อย่างเต็มใจ เพราะมีความสัมพันธ์และคบหากัน ส่วนรายละเอียดว่า รู้จักกับนายชูวงษ์ได้อย่างไร รวมถึงรู้จักกับ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์หรือไม่นั้น ขอให้การต่อพนักงานสอบสวนเท่านั้น
น.ส.อรชากล่าวต่อว่า อยากร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.ท.ประวุฒิ เรื่องของการส่งหมายเรียกของตำรวจ ว่า มีตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวนมากไปส่งหมายที่บ้าน แต่ตนเองไม่อยู่ และจะให้รีบเร่งมาพบพนักงานสอบสวนที่กองปราบปรามในขณะนั้น ตกใจมากจึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว
รายงานข่าวเพิ่มเติมด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) เปิดเผยว่า หลังสอบปากคำกว่า 2 ชั่วโมงว่า วันนี้ได้เชิญ น.ส.อุรชาและน.ส.ศรีธรา เข้ามาให้ปากคำตามหมายเรียก โดยทั้งสองไม่ได้นำหลักฐานใดๆมาชี้แจงต่อพนักงานสอบสวน โดยพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนต้องการ มีทั้งแอคเค้าท์บัญชีโบรกเกอร์ของน.ส.อุรชา รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการทำธุรกรรมการโอนหุ้นทั้งหมด ทั้งนี้จากการสอบปากคำเบื้องต้นน.ส.อุรชายืนยันว่าหุ้นที่ได้มาจากนายชูวงษ์นั้น เป็นเพราะทั้งคู่มีความสนิทสนมกัน เพราะทั้งนายชูวงษ์และน.ส.อุรชาคบหากันตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งทาง พ.ต.ท.บรรยิน ก็รับทราบ
ทั้งนี้ น.ส.อุรชา ให้ข้อมูลว่า ได้รับหุ้นมาในราคา 30 กว่าล้านบาท ไม่ถึง 40 ล้านบาท แต่ไม่รู้ว่าจำนวนหุ้นจริง ๆ มีเท่าใด ในส่วนที่พบว่ามีการโอนหุ้นไปในชื่อของ น.ส. ศรีธรา ซึ่งเป็นมารดานั้น น.ส.อุรชา ให้ข้อมูลว่า เป็นเพราะ น.ส.อุรชา ใช้บัญชีธนาคารของมารดาในการรับโอนซื้อขายหุ้นมาโดยตลอด ทำให้พบหลักฐานว่ามารดาเป็นผู้รับโอนหุ้นจากนายชูวงษ์
ซึ่งหลังจากที่รับโอนหุ้นมาแล้ว ตนได้ขายหุ้นส่วนหนึ่งไปในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบการโอนหุ้นให้ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล อายุ 26 ปี พริตตี้สาวที่เข้าให้ปากคำเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา และน.ส.อุรชา พบว่าเป็นบุคคลคนละกลุ่มกัน ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของหญิงสาวทั้งสองว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า ส่วนการตรวจสอบการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ต้องตามหาตัวโบรกเกอร์รายหนึ่งที่นายชูวงษ์ ฝากหุ้นเอาไว้ เนื่องจากบุคคลดังกล่าวจะมีเอกสารที่ยืนยันการรับโอนเก็บไว้อยู่ ซึ่งจะต้องเชิญพ.ต.ท.บรรยิน เข้าให้ปากคำเพิ่มเติมหรือไม่นั้น
ขอตรวจสอบว่า พ.ต.ท.บรรยิน เกี่ยวข้องกับการโอนหุ้นมากน้อยเพียงใด ขณะที่การตรวจสอบเอกสารการโอนหุ้นที่ญาติสงสัยว่าจะมีการปลอมลายเซ็นของนายชูวงษ์ นั้น ตนยอมรับว่าได้รับรายงานจากกองพิสูจน์หลักฐานว่าตรวจเสร็จสิ้นแล้ว แต่ตนยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ รวมทั้งคลิปเสียงของนายชูวงษ์ที่ส่งตรวจพิสูจน์นั้น พบว่าคลิปต้นแบบมีเสียงไม่ชัดเจน จึงต้องหาวิธีการเทียบเคียงเสียงให้มากที่สุด
ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับประเด็นการเสียชีวิตของนายชูวงษ์นั้น จะเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ ตนยังไม่ได้รับรายงาน พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 16.20 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากสอบปากคำเป็นเวลานานกว่า 7 ชั่วโมง น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล อายุ 26 ปีเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท หลักทรัพย์เออีซี จำกัด พร้อมด้วย นางศรีธรา พรหมา มารดาได้เดินออกจากห้องพนักงานสอบสวน ก่อนที่หลบหนีกองทัพสื่อมวลชนที่เฝ้ารอก่อนจะรีบเดินขึ้นรถตู้ ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบีนนฮย 5631 กทม. ออกไปโดยที่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนใดๆ
อย่างไรก็ตามรายงานข่าวแจ้งว่าการสอบปากคำสองแม่ลูกนั้น เจ้าหน้าที่ได้แยกห้องสอบปากคำ โดย น.ส.อุรชาให้การว่าก่อนหน้าที่เป็นแฮร์โฮสเตสสายการบินแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ระหว่างการสอบปากคำนั้นทั้งคู่มีสีหน้าแววตาเครียดอย่างชัดเจน