โฆษก ตร.เผยเจ้าหน้าที่พบหลุมฝังศพชาวโรฮิงญาบนยอดเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ อีก 5 หลุม แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบมีศพหรือไม่ จ่อขยายผลออกหมายจับแก๊งการค้ามนุษย์เพิ่ม ทั้งผู้สั่งการ นายทุน และอาจมีชาวต่างชาติร่วมด้วย
วันนี้ (5 พ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) เปิดเผยกรณีพบศพชาวโรฮิงญาบนยอดเขาแก้ว บ้านตะโล๊ะ หมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา กว่า 30 ศพ ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพบค่ายกักกันชาวโรฮิงญาอีกค่ายหนึ่งห่างจากค่ายแรกที่พบประมาณ 1 กม. น่าจะอยู่บริเวณทิศตะวันออกไปทางด้านข้างตะเข็บชายแดนพิกัดยังอ่านไม่ชัดเจน ขณะนี้ทาง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็กเยาวชนและสตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.มนตรี โปตระนันทน์ ผบช.ภ.9 กำลังเข้าตรวจสอบ เบื้องต้นได้รับรายงานว่าเจอหลุมศพอีกประมาณ 5 หลุม แต่ยังไม่ได้เข้าไปดูว่ามีศพหรือไม่ โดยค่ายชาวโรฮิงญาค่ายนี้มีลักษณะเป็นที่พักเหมือนกัน และมีการเสียชีวิตขณะที่พักรอเช่นเดียวกัน มีหลุมศพซึ่งในวันนี้จะทราบว่ามีทั้งหมดกี่ศพ การทำงานครั้งนี้ถือเป็นการทำงานร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ ทั้งตำรวจภูธรภาค 8 ตำรวจภูธรภาค 9 และส่วนของทหารเป็นกองทัพภาคที่ 4 ทหารพรานและ กอ.รมน. ได้ทำงานร่วมกันมาโดยตลอด
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าอาจเจอค่ายชาวโรฮิงญาอีกหลายค่ายแต่คงจะไม่มากแล้ว ส่วนในทางการสืบสวนจะมีการออกหมายจับเพิ่มอีกแน่นอน ซึ่งตอนนี้ที่ออกหมายจับไปก็เป็นระดับผู้สั่งการทั้งนั้น ต่อไปก็จะไปสืบสวนเรื่องนายทุน และเรื่องของเครือข่าย การส่งคนส่งเงิน ซึ่งต้องมีการส่งไปพื้นที่อื่น อาจมีชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“สำหรับการฝังศพของค่ายแรกที่พบทั้งหมด 26 ศพ นั้นเป็นการฝังลักษณะมีพิธีกรรมทางศาสนา ทุกศพหันหัวไปทางทิศเหนือ มีไม้ไผ่ถักเป็นเส้นๆ คล้ายตะแกรงไว้บนศพแล้วค่อยเอาดินกลบ เหมือนเป็นศพที่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีตามพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ได้ทำการฝังเพื่ออำพรางแต่อย่างใด บางศพตายมามากว่าปีเหลือเพียงโครงกระดูกไม่มีเนื้อเยื่อ แต่บางศพยังมีเนื้อหนังติดอยู่ และมีบางศพเสียชีวิตยังไม่ถึง 1 สัปดาห์ก็มี ถือว่าเป็นการทยอยกันเสียชีวิต คงไม่ใช่มีการฆ่าพร้อมๆ กันแล้วนำศพมาทิ้ง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสุสานของหมู่บ้านนี้ เพราะการเป็นอยู่ลำบาก ขาดสารอาหาร เมื่อมีการเสียชีวิตก็ต้องมีการฝังตามแบบมุสลิม” โฆษก ตร.กล่าว
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ส่วนการดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาที่ออกหมายจับไปแล้ว 8 ราย สามารถทำการจับกุมได้แล้ว 5 ราย คือ 1. นายอาสัน หรือมูสัน อินทนู สท.ปาดังเบซาร์ 2. นายร่อเอ สนยาแหละ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 3. นายอาหลี ล่าเม๊าะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 4. นายอันวา หรือซอ เนียง อานู สัญชาติพม่า และ 5. นายยาหลี เขร็ม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านตะโละ ได้เข้ามามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนี้เองเวลาประมาณ 09.00 น. ทั้งนี้ผู้ต้องหาที่ถูกจับแล้ว 4 รายให้การรับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญามีการตั้งข้อหาผู้ต้องหาว่าค้ามนุษย์ ส่วนนายยาหลี เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ ขณะที่ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 3 รายที่ยังหลบหนีอยู่ คือนายประสิทธิ์ เหล็มแหล๊ะ รองนายกเทศบาล ต.ปาดังเบซาร์ นายพรรคพล เบ็ญล่าเต๊ะ อายุ 47 ปี นายเจริญ ทองแดง อายุ 45 ปี คาดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยังคงหลบหนีอยู่ แต่การข่าวยังไม่สามารถระบุได้ว่าหลบหนีอยู่ที่ใด ออกนอกประเทศไปแล้วหรือไม่ ตอนนี้พยายามติดต่อกับญาติของผู้ต้องหาให้นำมามอบตัว ส่วนความเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ต.สุนทร เฉลิมเกียรติ อดีต ผบก.ภ.จว.สตูล จากหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอยู่มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว และจะมีคนอื่นด้วยที่เกี่ยวข้องซึ่งกำลังสืบสวนอยู่
โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังได้มีการตรวจสอบเส้นทางของขบวนการนี้ว่าเข้ามาทางใดและจะออกไปทางใด เส้นทางการเดินเท้า เส้นทางขึ้นเรือที่ จ.สตูล ว่ามาอย่างไร ภายหลังจะมีการปิดเส้นทางนี้ทั้งหมด ซึ่งได้มีการประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบแล้ว ใครที่ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ก็ได้ย้ายไปช่วยราชการแทนแล้ว ทั้งนี้ทางการมาเลเซียได้มีการประสานข้อมูลรายชื่อของคนที่ข้ามแดนมายังประเทศไทย ขณะนี้ทางการไทยยังไม่ได้ส่งข้อมูลใดไป หากสืบทราบว่ามีชาวมาเลเซียเกี่ยวข้องด้วยก็จะมีการประสานไปยังทางการมาเลเซียต่อไป ซึ่งทางการมาเลเซียให้ความร่วมมืออย่างดีมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มโรฮิงญาที่ข้ามแดนเข้ามายังประเทศไทยมี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มมีฐานะมีที่มาที่ไปชัดเจน มีการจ่ายเงินต้องการเดินทางไปยังประเทศที่ 3 อย่างรวดเร็ว กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่มารองาน รอนายจ้างมารับไปทำงาน และกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มคนที่มาอย่างไร้จุดหมายปลายทางที่ชัดเจน หรือไม่เป็นที่ต้องการของกลุ่มนายจ้าง หากมีญาติอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน จะมีการเรียกเงินให้มารับตัว มีลักษณะเหมือนการเรียกค่าไถ่ตัว